จะต้องทำยังไงแบบไหนที่เทอร์จะรัก

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553




เรื่องย่อวนิดา

















พัน ตรี ประจักษ์ มหศักดิ์ (เจษฎาภรณ์ ผลดี) ถูกเชื้อเชิญจากเสด็จในวังให้ลงแข่งกีฬาขี่ม้าโปโล เพื่อให้ราชนิกูลชั้นสูงได้มาแข่งขันประลองกำลัง ฝีมือในการขี่ม้าโปโลของประจักษ์เป็นที่โจษจันไปทั่วว่าเก่งฉกาจ เพราะเขาเป็นถึงหัวหน้าทหารม้ารักษาพระองค์ พิสมัย (รินลณี ศรีเพ็ญ) ว่าที่คู่หมั้นของประจักษ์ และเป็นคุณข้าหลวงของเสด็จ ภูมิใจในตัวประจักษ์ยิ่งนัก ซ้ำยังชอบโอ้อวดว่าเธอกับประจักษ์จะแต่งงานกันในเร็ววันนี้

อีกด้านหนึ่ง ไม่ใกล้ไม่ไกลกันนั้น วนิดา วงศ์วิบูลย์ (ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ) กำลังหัดขับรถเป็นครั้งแรก เธอชวนเพื่อนซี้อย่าง สุมาลี (สิรีอัญ สิริไพศาลเอก) และ กัลยา (ธนีญา กิติธรรมนุภาพ) มาเป็นเพื่อนนั่งรถ สองสาวกลัวสุดขีดกรี๊ดกร๊าดไปตลอดทาง ทำเอาวนิดาสะดุ้งเป็นระยะ ๆ พาจะเฉี่ยวชนหลายรอบ ทันใดนั้นมีรถสวนออกมา วนิดาไม่เห็นเลยชนเข้าให้อย่างจัง และเจ้าของรถที่วนิดาชนก็คือ ประจักษ์ มหศักดิ์ วนิดาหน้าเสียแต่ไม่ยอมรับผิด ทำให้ประจักษ์ไม่พอใจ และไม่ถูกชะตาวนิดาอย่างแรง (เพราะเข้าใจว่าผู้หญิงอย่างวนิดา เอะอะก็คงใช้เงินในการแก้ปัญหา) วนิดาหวังว่าจะไม่เจอผู้ชายคนนี้อีก แต่ผิดคาด วนิดากับประจักษ์มาพบกันอีกทีในสนามม้า วนิดากำลังขี่ม้าข้ามสิ่งกีดขวาง ดูสง่างาม มนตรี (พิษณุ นิ่มสกุล) เพื่อนสนิทกับประจักษ์ถึงกับอึ้งกิมกี่ เกิดความประทับใจ แต่ประจักษ์กลับไม่ชอบในความกล้าหาญและก๋ากั่นของเธอ วนิดาเป็นสาววัยแรกรุ่นเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยมาหมาด ๆ ความสวยของเธอเป็นที่หมายปองของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ แต่ไม่มีหนุ่มไหนที่สามารถเอาชนะใจเธอกับ นายดาว วงศ์วิบูลย์ (มนตรี เจนอักษร) พ่อของเธอไปได้ หนุ่มแต่ล่ะคนที่เข้ามาไม่ได้รักที่ตัววนิดา หากแต่รักที่เงิน ทำให้นายดาวกีดกันทุกวิถีทาง และกลัวเหลือเกินว่าลูกสาวจะเลือกคู่ผิด นายดาวจึงตัดสินใจที่จะหาสามีให้วนิดา และเมื่อเปิดค้นรายชื่อบรรดาลูกหนี้มากมายของเค้า เค้าก็สะดุดตากับคน ๆ หนึ่งเข้า เค้าก็คือ ประจวมหศักดิ์ บ (สรวิชญ์ สุบุญ) น้องชายของประจักษ์นั่นเอง

นาย ดาว วงศ์วิบูลย์ เรียกประจวบมาหาที่บ้าน พร้อมยื่นข้อเสนอว่าจะยกหนี้ทั้งหมดให้ ถ้าประจวบยอมแต่งงานกับวนิดา ดาวต้องการให้วนิดาได้เป็นฝั่งเป็นฝากับผู้รากมากดีตระกูลดังอย่าง มหศักดิ์ ประจวบไม่ยอม นายดาวขู่ว่าถ้าประจวบไม่ตกลงแต่งงานกับลูกสาวของตน ก็จะฟ้องศาล เล่นงานให้ชื่อเสียงของมหศักดิ์ย่อยยับป่นปี้ ทันทีที่เรื่องนี้รู้ถึงหูของคุณนายน้อม มหศักดิ์ (ดวงตา ตุงคะมณี) ลมก็แทบจับ เพราะเธอเกลียดตระกูลนี้หยั่งกับอะไรดี เรื่องเกิดมาตั้งแต่สมัยที่ มณฑา (เดือนเต็ม สาลิตุล) ย่าของวนิดา ผู้เป็นภรรยาสุดที่รักของ พระยามหศักดิ์ธำรง (สุเชาว์ พงษ์วิไล) มณฑาเป็นกุลสตรีไทยที่เพียบพร้อม เป็นที่รักใคร่ของพระยามหศักดิ์ธำรงและคนอื่น ๆ คุณนายน้อมอิจฉา จึงสร้างเรื่องโกหกว่ามณฑามีชู้ ทำให้พระยามหศักดิ์ธำรงค์โกรธ จึงขับไล่มณฑาออกจากบ้านมหศักดิ์ตัดขาดจากกัน มณฑาต้องไปอาศัยอยู่กับน้องชายซึ่งก็คือนายดาว

คุณนายน้อมยืนยันเสียงแข็งว่าจะไม่ขอร่วมวงพงศ์ไพรกับตระกูลวงศ์วิบูลย์เด็ด ขาด และขอให้ประจักษ์ช่วย แต่น้องสร้างหนี้ไว้มากมาย จนประจักษ์ไม่อาจช่วยเหลือได้ ประจวบไม่อยากแต่งงาน เพราะมีคนรักอยู่แล้วคือ ปราณี (พิมพ์อักษิพร วินโกมินทร์) ประจวบตัดสินใจลาออกจากราชการ และหนีลงใต้เพื่อไปหาเงินมาใช้หนี้ แต่นายดาวไม่ยอม ในเมื่อน้องชายหายตัวไป ก็ต้องให้พี่ชายอย่างประจักษ์แต่งงานกับวนิดาแทน ประจักษ์ปฏิเสธเสียงแข็ง แต่คุณนายน้อมเองที่กลัวชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเสียหาย จึงเกลี้ยกล่อมให้ลูกชายยอมแต่งงาน เพื่อแก้ปัญหาไปก่อน ระหว่างที่รอประจวบหาเงินมาใช้หนี้ ประจักษ์จึงต้องเสียสละตัวเองเพื่อรักษาภาพพจน์ของตระกูลโดยการแต่งงานกับ วนิดา

ด้านวนิดา...ทันทีที่รู้ข่าวจากนายดาวผู้เป็นพ่อก็เกิดอาการไม่พอใจ นายดาวพยายามเกลี้ยกล่อมและบอกว่าประจักษ์ชอบพอในตัววนิดาจึงให้ผู้ใหญ่มา สู่ขอ นายดาวบรรยายสรรพคุณของประจักษ์เสียจนดีเลิศ วนิดาโดนหว่านล้อมจนต้องตอบตกลงที่จะแต่งงานกับประจักษ์ ประจักษ์บอกข่าวนี้ให้กับพิสมัยว่าที่คู่หมั้นให้รับรู้ ทันทีที่พิสมัยรู้ก็ถึงกับหัวฟาดหัวเหวี่ยงไม่พอใจ และรู้สึกเสียหน้า เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าว่าที่ภรรยาของประจักษ์ในอนาคตคือเธอ ประจักษ์พยายามพูดโน้มน้าว ปลอบโยน และให้คำมั่นสัญญาว่าถ้าประจวบหาเงินมาใช้หนี้นายดาวหมดเมื่อไหร่ จะหย่ากับวนิดาทันที

ประจักษ์ มาพบกับนายดาวอีกครั้งเพื่อตกลงกันก่อนที่พิธีแต่งงานจะถูกจัดขึ้น สิ่งที่นายดาวต้องการจากประจักษ์ก็คือ.....(1) ประจักษ์ต้องยินยอมให้วนิดาใช้นามสกุลมหศักดิ์ (2) ถ้ามีการหย่าร้างเกิดขึ้นระหว่างที่ประจวบยังใช้หนี้ไม่ครบ นายดาวมีสิทธิ์ฟ้องร้องต่อศาลได้ทันที ประจักษ์ตกลง ก่อนจะที่บอกความต้องการของตัวเองกลับไปเช่นกัน (3) เมื่อประจวบหาเงินมาใช้หนี้นายดาวจนครบ เค้าจะหย่าขาดกับเธอทันที (4) เค้าจะไม่ล่วงเกินวนิดา เค้ากับวนิดาจะแยกห้องนอนกัน (5) ไม่มีการจัดงานแต่งงานใหญ่โต ประกาศให้คนรู้ จะเลี้ยงกันแค่คนในครอบครัวเท่านั้น นายดาวตอบตกลงเช่นกัน ก่อนจะให้ประจักษ์ลงนามในสัญญาเอาไว้เป็นหลักฐาน

ในที่สุดวันแต่งงานก็มาถึง งานแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย วนิดาแต่งกายด้วยชุดไทยเดินลงมา ทันทีที่ทั้งสองคนเจอหน้ากันก็แทบช็อค เพราะจำกันได้ว่าเคยเจอกันมาก่อน วนิดาเหวี่ยงใส่นายดาวทันทีจะยกเลิกงานแต่งงาน นายดาวจึงขอร้องให้ประจักษ์ไปปรับความเข้าใจกับวนิดาและขอโทษเรื่องที่ผ่าน มา ประจักษ์จะไม่ยอม แต่พอโดนขู่เรื่องสัญญาก็ต้องจำยอม วนิดายอมเข้าพิธีแต่งงานต่อ พิธีเสร็จประจักษ์จะพาวนิดากลับบ้านมหศักดิ์ ประจักษ์พอแต่งงานเสร็จ ก็หนีหน้าวนิดา ออกไปทำงานตลอด ทำให้วนิดาโมโหมาก เพราะไม่รู้เหตุผลของการแต่งงานครั้งนี้ หลังจากวันนั้น วนิดากับประจักษ์ ก็เป็นเหมือนไม้เบื่อไม้เมา ต่างไม่มีใครยอมใคร คุณนายน้อมกับพิสมัยกลับมาบ้านมหศักดิ์ ก็หาเรื่องกลั่นแกล้งวนิดา แต่เธอก็ไม่ยอมใครเหมือนกัน ทำให้คนกลางอย่างประจักษ์ต้องคอยห้ามทัพตลอด สุดท้ายประจักษ์ตัดสินใจย้ายไปอยู่บ้านพักทหารกับวนิดา

วนิดาไม่ได้รู้สึกเหงาอะไร สนุกกับการทำบ้าน ทำสวน ปลูกผักผลไม้ ประจักษ์เริ่มเห็นความดีของวนิดาหลาย ๆ อย่าง วนิดาได้ไปรู้จักกับสองพี่น้องที่ปลูกบ้านอยู่ในสวนหลังบ้านมหศักดิ์ คือ อำพัน
(ศิระ แพทย์รัตน์) กับ อำไพ (พริมรตา เดชอุดม) แม่ของสองพี่น้องเคยเป็นคนรับใช้ของมณฑามาก่อน ทำให้ทั้งสองคนเข้ากับวนิดาได้ง่าย อำพัน กับอำไพ รู้จักประวัติของบ้านมหศักดิ์เป็นอย่างดี และรู้ด้วยว่ามณฑาถูกกล่าวหาว่ามีชู้ วนิดาให้อำไพเล่าเรื่องสมัยที่ย่าเธออยู่ที่นี่ให้ฟัง ระหว่างที่ประจักษ์ไปทำงาน วนิดามักมาอยู่กับอำพัน อำไพที่บ้านสวน น้อมเห็นเข้าก็รีบใส่ไฟให้ประจักษ์ฟัง สร้างเรื่องว่าวนิดามีชู้ สนิทสนมกับอำพันจนเกินงาม ประจักษ์ไม่เชื่อ แต่ก็หึงที่วนิดาไปสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่น ประจักษ์แสดงความเป็นเจ้าของวนิดามากขึ้น และเริ่มชวนวนิดาออกไปกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง ตามประสาสามี ภรรยา ทำให้วนิดาแปลกใจ แต่ป้าทอง จวง ไปล่ชอบใจ เพราะอยากให้วนิดากับประจักษ์รักชอบพอกันจริง ๆ อำพันต้องไปสัมมนาที่ชะอำ จึงชวนอำไพกับวนิดาไปด้วย วนิดาอยากไปอยู่แล้วเลยจะไปบอกประจักษ์ แต่กลับเห็นประจักษ์อยู่กับพิสมัยท่าทางเหมือนสวีทกันอยู่ วนิดาไม่พอใจ เลยเขียนจดหมายเสียบไว้ที่ประตู ก่อนจะออกไปกับอำไพแต่เช้า น้อมเห็นจดหมายของวนิดาเข้าเลยแอบขโมยมาเก็บไว้ ทำให้ประจักษ์เข้าใจวนิดาผิด และรีบตามวนิดาไปชะอำ น้อมกับพิสมัยห้ามก็ไม่ฟัง ประจักษ์มาถึงชะอำ จะลากวนิดากลับบ้าน แต่วนิดาไม่ยอมกลับ ประจักษ์เลยตัดสินใจค้างคืนด้วย ห้องพักมีอยู่แค่ห้องเดียวทำให้ทั้งสองคนต้องนอนห้องเดียวกัน ท่ามกลางความอึดอัดสุด ๆ วนิดาแอบหนีไปขี่ม้าคนเดียว ประจักษ์ตามไป วนิดาเร่งหนีประจักษ์ทำให้ตัวเองตกม้า ม้าวิ่งหนี วนิดาหาทางกลับบ้านพักไม่เจอ วนิดาหลงทาง ประจักษ์เป็นห่วงวนิดาสุด ๆ เขาไม่สนใจฟ้าฝนที่กำลังจะตกหนัก ขี่ม้าตามหาวนิดาจนต้นไม้หล่นทับเป็นไข้ วนิดาตามจนเจอพากลับมาดูแลรักษา ประจักษ์รู้สึกดีที่วนิดาห่วงใยดูแล ประจักษ์รู้หัวใจของตัวเอง ด้านพิสมัยก็คอยแกล้งและใส่ร้ายวนิดาจนประจักษ์เริ่มเห็นธาตุแท้ของอดีตคน รัก

วนิดากับประจักษ์เริ่มเปิดใจให้กัน จนน้อมทนไม่ไหว เลยวางแผนคิดจะรวบหัวรวบหางลูกชายให้พิสมัยในงานวันเกิดครบรอบ 60 ปีของตัวเอง น้อมรู้นิสัยของประจักษ์ดีว่าถ้าเกิดเรื่องไม่งามขึ้น ก็พร้อมจะรับผิดชอบ

เรื่องราวความรักของ ประจักษ์ กับ วนิดา จะฝ่าฟันอุปสรรคปัญหาและลงเอยกันได้อย่างไร ติดตามชมได้ใน ละครวนิดา ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.30 น. ไทยทีวีสีช่อง 3 ละครวนิดา เริ่มตอนแรกวันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม 2553

รายชื่อนักแสดงนำในละคร วนิดา

เจษฎาภรณ์ ผลดี รับบท พันตรีประจักษ์ ในละคร วนิดา
ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ รับบท วนิดา ในละคร วนิดา
สรวิชญ์ สุบุญ รับบท ประจวบ ในละคร วนิดา
รินลณี ศรีเพ็ญ รับบท พิสมัย ในละคร วนิดา
พิษณุ นิ่มสกุล รับบท มนตรี ในละคร วนิดา
พริมรตา เดชอุดม รับบท อำไพ ในละคร วนิดา
ศิระ แพทย์รัตน์ รับบท อำพัน ในละคร วนิดา
พิมพ์อักษิพร วินโกมินทร์ รับบท ปราณี ในละคร วนิดา
มนตรี เจนอักษร รับบท นายดาว ในละคร วนิดา
ดวงตา ตุงคะมณี รับบท คุณนายน้อม ในละคร วนิดา
อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ รับบท นางทอง ในละคร วนิดา
เบญจพล เชยอรุณ รับบท ไปล่ ในละคร วนิดา
ชมพู่ ก่อนบ่ายฯ รับบท จวง ในละคร วนิดา
สิรีอัญ สิริไพศาลเอก รับบท สุมาลี ในละคร วนิดา
ธนีญา กิติธรรมนุภาพ รับบท กัลยา ในละคร วนิดา

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553






โยค



โยคะ เป็นการออกกำลังกายชนิดหนึ่ง เป็นการฝึกเพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เป็นการเตรียมกายใจให้พร้อมเพื่อเสริมสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ ในการฝึกโยคะผู้ฝึกโยคะทุกคนต้องยึดถือและปฏิบัติโดยเคร่งครัดเพื่อให้สามารถป้องกันรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ การที่มีสมดุลภายในร่างกายและจิตใจที่ดีจะมิให้บังเกิดโรคได้





ประวัติ



โยคะถือกำเนิดในประเทศอินเดียเมื่อหลายพันปีที่แล้ว โดยในสมัยโบราณนั้นมนุษย์ได้ค้นคว้าเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับความเข้าใจในความ เป็นอยู่ของตนเอง อดีตมีการจารึกถ้อยคำด้วยตัวอักษรความรู้ที่สำคัญๆทั้งหมดถูกส่งผ่านคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งในรูปแบบของนิทาน ด้วยวิธีการเช่นนี้ ความรู้ต่างๆจึงได้สะสมขึ้นและวัฒนธรรมต่างๆได้พัฒนาขึ้นมา และนี่คือวิธีการที่การฝึกโยคะได้ถ่ายทอดมาถึงปัจจุบันในหุบเขาแห่ง อินดัส วอลเลย์ นักโบราณคดีได้ค้นพบไม้แกะสลักและศิลปะรูปปั้นที่แสดงถึงการฝึกโยคะ ศิลปะเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยประชาคมที่มีความเจริญเป็นอย่างสูง ซึ่งเจริญอยู่ในพื้นที่แถบนั้นช่วง 2000 และ1000 ปีก่อนคริสต์ศักราช (ปัจจุบัน คือส่วนหนึ่งของประเทศปากีสถาน) นักปราชญ์ชาวฮินดูคนหนึ่งชื่อว่า พาตานจาลี เป็นคนแรกที่ปรับปรุงการฝึกโยคะขั้นพื้นฐาน เขาเขียนสูตรของการฝึกโยคะเป็นหัวข้อ 8 หัวข้อสั้นๆ หัวข้อเหล่านี้เชื่อว่าได้ถูกเขียนขึ้นเมื่อ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช [1] โดยผู้ที่ปฏิบัติโยคะที่เป็นผู้ชายเรียกว่า yogins or yogis ส่วนผู้หญิงเรียกว่า yoginis ส่วนผู้สอนเรียกว่า guru ประเทศตะวันตกได้นำโยคะมาเป็นการออกกำลังกายโดยดัดแปลงจาก Hatha-Yoga ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของโยคะ [2]

โยคะขั้นพื้นฐาน
โยคะ เป็นการสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียวซึ่งการฝึกโยคะจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การออกกำลังกายหรือการฝึกท่าโยคะ การหายใจหรือลมปราณ การทำสมาธิ โดยการฝึกท่าโยคะจะกระตุ้นอวัยวะและต่อมต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำงานดีขึ้น สุขภาพจึงดีขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับมารดาที่ตั้งครรภ์เป็นอย่างยิ่ง
โยคะพื้นฐานสำหรับมารดาตั้งครรภ์ จึงเป็นส่วนหนึ่งในโครงการตั้งครรภ์คุณภาพ

ท่าที่ 1
เหยียดขาตรงไปข้างหน้า มือ 2 ข้างเท้าที่พื้นแขนเหยียดตรงข้างลำตัว (ให้จิตอยู่ที่นิ้วโป้งเท้า...หายใจเข้าทางจมูกให้ท่องป่องออก) หายใจเข้า
หายใจออกทางปากอย่างช้า ๆ (ท้องแฟบเข้า) ปลายเท้าซ้ายชี้ลง ปลายเท้าขวาชี้ขึ้น
หายใจเข้าทางจมูก (ท้องป่องออก) ปลายเท้าซ้ายชี้ขึ้น ปลายเท้าขวาชี้ลง (ทำ 10 ครั้ง)


ท่าที่ 2
นั่งเหยียดขาตรงไปข้างหน้า มือ 2 ข้างเท้าที่พื้นแขนเหยียดตรงข้างลำตัว (ให้จิตอยู่ที่ข้อเท้าซ้าย หายใจเข้าทางจมูกให้ท้องป่องออก)
หายใจออกทางปากอย่างช่า ๆ (ท้องแฟบเข้า) ให้ดึงข้อเท้าซ้ายเข้าหาตัว มือขวาจับที่ข้อเท้าซ้าย มือซ้ายกอดเข่าซ้ายแน่น
หายใจเข้าทางจมูกอย่างช้า ๆ (ท้องป่องออก) เหยียดเท้าซ้ายออก (ทำ 10 ครั้ง) แล้วจึงเปลี่ยนไปทำเท้าขวา (อีก 10 ครั้ง)


ท่าที่ 3
นั่งโดยเอาฝ่าเท้าประกบกัน เข่าสองข้างแยกออก (ให้จิตอยู่ที่หัวเข่า กายใจเข้าทางจมูก ให้ท้องป่องออก)
หายใจออกทางปากอย่างช้า ๆ (ท้องแฟบเข้า) ให้ใช้มือทั้งสองข้างช้อนเข่ามากอดไว้
หายใจเข้าทางจมูกอย่างช้า ๆ (ท้องป่องออก) ให้เอามือทั้งข้าง กดหัวหัวเข่าลงให้มากที่สุด (ทำ 10 ครั้ง)


ท่าที่ 4

นั่งเหยียดขาตรงไปข้างหน้าหลังตรงแขนสองข้างเหยียดตรงไปข้างหน้า มือหงายขึ้น (ให้จิตอยู่ที่นิ้วหัวแม่มือ หายใจเข้าทางจมูก ให้ท้องป่องออก)
ผ่อนลมหายใจออกทางปากอย่างช้า ๆ กำมือให้แน่น โดยให้นิ้วทั้ง 4 กำหัวแม่มือไว้
หายใจเข้าทางจมูกให้แบมือออก (ทำ 10 ครั้ง )


ท่าที่ 5
นั่งเหยียดขาตรงไปข้างหน้าหลังตรงแขนสองข้างเหยียดตรงไปข้างหน้า มือ 2 ข้างคว่ำลง (ให้จิตอยู่ที่ข้อมือ หายใจเข้าทางจมูกอย่างช้า ๆ ให้ท้องป่องออก)
ผ่อนลมหายใจออกทางปากอย่างช้า ๆ พร้อมกับคว่ำมือซ้ายลง กระดกมือขวาขึ้นข้อมืออยู่คู่กัน
หายใจเข้าทางจมูกอย่างช้า ๆ คว่ำมือขวาลง กรดกมือซ้ายขึ้นข้อมืออยู่คู่กัน (ทำ 10 ครั้ง)


ท่าที่ 6
นั่งขัดสมาธิ หลังตรงแขนสองข้างเหยียดตรงไปข้างหน้า มือ 2 ข้างหงายขึ้น (ให้จิตอยู่ที่ข้อศอก หายใจเข้าทางจมูกอย่างช้า ๆ ให้ท่องป่องออก)
ผ่อนลมหายใจออกทางปากอย่างช้า ๆ พร้อมกับยกมือขวาไปแตะด้านหลังให้ลึกที่สุด มือซ้ายเหยียดตรงอย่างเดิม
หายใจเข้าทางจมูกอย่างช้า ๆ พร้อมกับยกมือซ้ายไปแตะด้านหลังให้ลึกที่สุด มือขวากลับมาเหยียดตรงอย่างเดิม (ทำ 10 ครั้ง)


ท่าที่ 7
นั่งขัดสมาธิ หลังตรง มือ 2 ข้างจับที่หัวไหล่ (ให้จิตอยู่ที่หัวไหล่ หายใจออกทางจมูกอย่างช้า ๆ ให้ท้องแฟบเข้า)
หายใจเข้าท้องป่องออกมือแตะที่หัวไหล่ หนีบข้อศอกลงแนบกับลำตัว
หายใจออกมือยังแตะที่หัวไหล่ ยกศอกขึ้นหลังมือแนบใบหู (ทำ 10 ครั้ง)

ท่าที่ 8
ต่อจากท่าที่ 7 มือแตะที่หัวไหล่ หมุนข้อศอกไปข้างหน้า 10 ครั้ง
มือแตะที่หัวไหล่ หมุนข้อศอกไปข้างหลัง 10 ครั้ง (ท่านี้หายใจ
ปกติ)

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553






การเลี้ยงกระต่าย



















สารบัญ

1. พันธุ์กระต่าย
2 อาหาร
3. การให้อาหารกระต่าย
4. การป้องกันและควบคุ้มโรค
5. โรงเรือนและอุปกรณ์การเลี้ยง
6. วิธีจับกระต่าย
7. การขยายพันธุ์ของกระต่าย
8. เกร็ดความรู้
9. บรรณานุกรม




1พันธุ์กระต่าย

กระต่ายที่นิยมเลี้ยงกันในประเทศไทยมีอยู่ไม่กี่พันธุ์ดังไปนี้
1. พันธุ์นิวซีแลนด์ไวท์ (Newzealand White)
เป็นกระต่ายที่นิยมเลี้ยงกันแพร่หลายที่สุด มีขนสีขาวตลอดตัว ตาสีแดงหน้าสั้น มีสะโพกใหญ่ ไหล่กว้าง ส่วนหลังและสีข้างใหญ่ เนื้อเต็ม ให้ลูกดกเลี้ยงลูกเก่ง เมื่อโตเต็มที่ ตัวผู้หนัก 4.1-5.0 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 4.5-5.5 กิโลกรัม

2. พันธุ์แคลิฟอร์เนียน (Californian)
มีขนสีขาวตลอดตัวยกเว้นที่บริเวณใบหู จมูก ปลายเท้าและปลายหางจะมีสีดำ ลำตัวท้วมหนา สะโพกกลม ช่วงไหล่และช่วงท้ายใหญ่ ให้ลูกดกเลี้ยงลูกเก่ง เมื่อโตเต็มที่ ตัวผู้หนัก 3.5-4.5 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 4.0-5.0 กิโลกรัม

3. พันธุ์แองโกร่า (AngOra)
เลี้ยงกันมากทางภาคเหนือ มีขนฟูยาว ขนสีขาว สีดำหรือสีอื่น ๆ เมื่อโตเต็มที่ตัวผู้ หนัก 2.4-3.5 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 2.5-3.8 กิโลกรัม


4. พันธุ์พื้นเมือง
มีหลายสีเช่น สีเทา ขาว น้ำตาล ฯลฯ ตาสีดำ หน้าแหลม เลี้ยงลูกเก่ง ทนต่อสภาพ แวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี เมื่อโตเต็มที่หนักประมาณ 2.0-3.0 กิโลกรัม ปัจจุบันมีการผสมข้ามพันธุ์ กับกระต่ายพันธุ์อื่น จนหากระต่ายพื้นเมืองแท้ได้ยาก


2. การให้อาหาร

ควรพิจารณาปริมาณที่ให้ไดยให้พอดีกับความต้องการของกระต่ายซึ่งขื้นอยู่กับระยะ การเจริญเติบโตของกระต่าย น้ำหนักตัวและสภาพเฉพาะของกระต่ายแต่ละตัวด้วย

1. กระต่ายตั้งท้อง
ควรให้อาหารที่มีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 15% วันละ 4.5% ของน้ำหนักตัวหรือให้ใน ปริมาณ 120-180 กรัมต่อวัน โดยเริ่มให้ตั้งแต่ตรวจพบว่าตั้งท้องหรือท้องประมาณ 15 วันจนถึงวันคลอด

2. กระต่ายเลี้ยงลูก
ควรให้อาหารที่มีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 17% วันละ 4.5% ของน้ำหนักแม่รวมกับ น้ำหนักลูก หรือให์ในปริมาณ 150-300 กรัมต่อวัน
3. กระต่ายหลังหย่านม
ควรให้อาหารที่มีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 16% วันละ 5 % ของน้ำหนักตัวหรือให้ใน ปริมาณ 50-150ุ กรัมต่อวัน

4. พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์
ควรให้อาหารที่มีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 15% วันละ 3.5-4 % ของน้ำหนักตัว หรือให์ใน ปริมาณ 90-140 กรัมต่อวัน ปริมาณอาหารส่าหรับพ่อและแม่พันธุ์ควรปรับตามสภาพร่างกาย เพื่อควบคุมไม่ให้อ้วนหรือผอมเกินไป ซึ่งจะมีผลทำให้การผสมติดยาก


3. อาหาร

อาหารมีความส่าคัญต่อการเลี้ยงกระต่ายอย่างยิ่งเพราะต้นทุนในการเลี้ยงกระะต่าย มากกว่าครึ่งหนึ่งใช้เป็นค่าอาหาร การที่จะเลี้ยงกระต่ายให้เติบโตเร็ว มีสุขภาพดีและให้ ผลผลิตสูงจำเป็นจะต้องเลี้ยงด้วยอาหารที่เหมาะสม และมีปริมาณเพียงพอกับความ ต้องการของกระต่าย
อาหารที่ใช้เลี้ยงกระต่ายแบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้

1. อาหารหยาบ (Roughage)

หมายถึงอาหารที่มีโภชนะย่อยได้ต่ำ มีเยี่อใยสูง ซึ่งหมายถึงอาหารที่กินเข้าไป และเหลือกากขับถ่ายออกมาเป็นของเสียมาก ส่วนใหญ่ได้มาจากลำต้น และใบของพืช ตระกูลหญ้า และพืชตระกูลถั่ว เช่น หญ้าเนเปียร์ หญ้าขน หญ้ากินนี กระถิน ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วชีราโต ถั่วไกลซีน ถั่วเทาสวิลสไลโล เป็นต้น หรืออาจจะใช้ต้น พืชผักชนิดต่างๆ เช่น ผักบุ้ง ผักโขม ผักกาด คะน้า กะหล่ำปลี แครอท ผักกาดหอม หัวผักกาด มันเทศ มันแกว ฯลฯ เลี้ยงกระต่ายก็ได้
อาหารหยาบประเภทใบพืช ผัก หญ้า ควรให้กินเต็มที่ กระต่ายชอบหญ้าสด ผักสด มากกว่าตากแห้ง แต่หญ้าแห้งก็อาจใช้ได้ แต่ควรเป็นหญ้าที่อยู่ในระยะยังอ่อน ตากแห้งสะอาดไม่มีรา ไม่สกปรก ไม่มียาฆ่าแมลง ดวรหั่นเป็นท่อน ๆให้ยาวพอควร

2. อาหารข้น (Concentrate)

แม้ว่ากระต่ายจะสามารถยังชีพและขยายพันธุ์ตามปกติธรรมชาติ โดยอาศัย อาหารประเภทต้นหญ้า ใบพืชได้ก็ตาม แต่หากเราต้องการให้มันเจริญเติบโต ให้ผลิตผลเร็ว ให้เนื้อมาก ให้ขยายพันธุ์มีลูกดก ได้ลูกปีละหลายตัว เราจะต้องเลี้ยงดูให้ดี โดยมีอาหารข้น (Concentrates) เพิ่มเสริมให้ด้วย อาหารขันนี้เป็นอาหารที่มีโภชนะย่อยได้สูง มีเยื่อใยต่ำ ย่อยง่าย ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มคือ

2.1 อาหารที่เป็นแหล่งพลังงาน คืออาหารที่มีแป้ง และน้ำตาล (คาร์ไบ ไฮเดรต) หรือไขมันสูง ได้แก่ รำ ปลายข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง มันเสน และไขมัน จากพืชหรือสัตว์

2.2 อาหารที่เป็นแหล่งโปรตีน ได้แก่ นมผง ปลาป่น กากถั่วเหลือง กากถั่วลิสง และใบกระถินป่น

ส่าหรับอาหารข้นควรเสริมให้กินในตอนบ่าย กระต่ายที่ไม่ได้เสริมด้ยอาหารข้น ควรมีแร่ธาตุประกอบด้วย เกลือ กระดูกป่น และเปลือกหอยบดอย่างละเท่า ๆ กัน ผสมให้เข้ากัน ตั้งให้กินตามชอบ อาหารป่นที่แห้งอาจผสมน้ำเล็กน้อยพอชื้น เพื่อสะดวกใน การกินและจะช่วยมิให้ร่วงหล่นเสียหาย

3. อาหารส่าเร็จรูป (Complete feed)

เกิดจากการนำอาหารข้นและอาหารหยาบมารวมกันในอัตราส่วนที่เหมาะสม มีสภาพเป็นผงหรืออัดเป็นเม็ด นำมาใช้เลี้ยงกระต่ายได้สะดวก กระต่ายที่เลี้ยงด้วยอาหาร สำเร็จรูปเพียงอย่างเดียวในปริมาณที่เพียงพอจะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่ในการ เลี่ยงโดยทั่วไปนิยมเสริมหญ้าสด เพื่อลดต้นทุนและควรให้หญ้าหลังจากที่กระต่ายกินอาหาร สำเร็จรูปในปริมาณมากพอสมควร เพื่อให้กระต่ายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างเพียงพอ


4. การป้องกันและควบคุ้มโรค

1. โรคกระต่าย

เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความเสียหายในการเลี้ยงกระต่ายเสมอไม่ว่าจะเลี้ยงกระต่ายมาก น้อยเท่าใด หรือมีการจัดการที่ดีเพียงใดก็ตาม การที่จะควบคุมโรคกระต่ายให้ได้ผลดีควรเน้นที่ การป้องกันไม่ให้เกิดโรคขึ้น และรักษาตั้งแต่กระต่ายเริ่มป่วยเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคและ ประหยัดค่ารักษา


สาเหตุของโรคมีทั้งสาเหตุที่เกิดจากตัวกระต่ายเองและสาเหตุภายนอกชึ่งสาเหตุต่างๆ นั้นอาจจำแนกได้ดังนี้

1.1 สภาพแวดลอมที่ไม่เหมาะสม เช่น ใกล้แหล่งเชื้อโรค มีพาหะของเชื้อโรคมาก อากาศที่ร้อนชื้น การระบายอากาศที่ไม่ดีเป็นต้น
1.2 อาหารและน้ำที่ใม่เพียงพอหรือมีสิ่งเจือปนที่เป็นพิษต่อกระต่าย
1.3 พันธุกรรม โรคหรือลักษณะทางพันธุกรรมบางอย่างสามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ เช่น ลักษณะฟันยื่น ลักษณะกระต่ายฟันยื่น
1.4 เชื้อโรค ได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตชัว พยาธิ เห็บ หมัด เหา ไร เป็นสาเหตุที่ เด่นชัดและพบได้เป็นประจำ

2. การป้องกันโรค

ทำได้โดยพยายามลดสาเหตุของโรคให้เหลือน้อยที่สุดได้แก่
2.1 เลือกชื้อกระต่ายที่แข็งแรงและปลอดโรคมาเลี้ยง
2.2 ดูแลกระต่ายให้อยู่สภาพที่สบาย สะอาด ได้รับอาหารและน้ำเพียงพอ ไม่ร้อนเกินไป และมีอากาศถ่ายเทสะดวก
2.3 หมั่นตรวจและสังเกตุลักษณะอาการของกระต่ายเป็นประจำ ถ้าพบกระต่ายป่วย ควรแยกไปเลี้ยงในที่เฉพาะและทำการรักษาทันที ถ้าไม่สามารถรักษาได้ควรรีบปรึกษาสัตวแพทย์ ส่าหรับกระต่ายตัวอื่นที่ยังไม่ป่วยควรดูแลเป็นพิเศษและทำความสะอาดโรงเรือนให้บ่อยขี้น
2.4 ไม่ควรใช้ยาเอง ถ้าไม่มีความรู้เพียงพอ ถ้าจะใช้ยาเองควรทำตามคำแนะนำของ สัตวแพทย์ และไม่ควรใช้ยาโดยไม่จำเป็นเพราะจะทำให้เชื้อโรคตื้อยาได้


6. โรงเรื่อนและอุปกรณ์ที่ใช้

1. โรงเรือน

ลักษณะของโรงเรือนที่ดีควรตั้งอยู่ในแนวทิศตะวันออกกับตะวันตก มีลวดตาข่ายล้อม รอบเพื่อป้องกันแมลงและสัตว์ ชี่งจะทำอันตรายและนำโรคมาสู่กระต่าย หลังคาของโรงเรือนจะ ต้องกันแดดและฝนได้ดี พื้นภายในโรงเรือนควรเป็นพื้นคอนกรีต เพื่อไม่ให้เปียกชื้นและทำ ความสะอาดได้ง่าย กรณีที่ผู้เลี้ยงมีพื้นที่ในบ้านหรือใต้ชายคาบ้านมากพอสมควร และกระต่าย ที่เลี้ยงมีจำนวนไม่มากนัก ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมีโรงเรือน

2. กรง
ขนาดของกรงขึ้นกับจำนวนกระต่าย ถ้าเป็นกรงเดี่ยวควรมีขนาดกว้าง 50-60 เชนติเมตร ยาว 60-90 เชนติเมตร สูง 45-60 เซนติเมตร ถ้าต้องการเลี้ยงกระต่ายหลายตัว อาจทำเป็นกรงตับและซ้อนกัน 2-3 ชั้น หรือถ้าจะขังหลายๆ ตัวรวมกัน กรงที่ใช้จะต้องใหญ่พอ ที่กระต่ายจะอยู่กันได์ไดยไม่หนาแน่นเกินไป วัสดุที่ใช้ทำกรงอาจใช้ไม้ระแนง หรือลวดตาข่าย ที่มีช่องกว้างประมาณ 1/2 - 3/4 นิ้ว ถ้าเป็นกรงส่าหรับแม่กระต่ายเลี้ยงลูก ลวดตาข่ายที่ใช้บุพื้น ควรมีช่องขนาด 1/2 นิ้ว เพื่อปัองกันขาของลูกกระต่ายติดในร่องของลวด ถ้าเลี้ยงกระต่ายไม่กี่ตัว อาจชื้อกรงส่าเร็จรูปที่มีขายตามร้านขายอุปกรณ์เลี้ยงสัตว์ทั่วไป แต่ต้องไม่ลืมว่ากรงที่ใช้จะต้อง มีขนาดใหญ่พอที่กระต่ายจะอยู่ได้อย่างสบาย และต้องแข็งแรงทนทาน มีอายุการใช้งานยาวนาน

3. อุปกรณ์การให้อาหาร

ควรใช้ถ้วยดินเผาขนาดเสนผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้ว และมีน้ำหนักมาก พอที่กระต่ายจะ ไม่สามารถทำล้มได้ อาจใช้กล่องใส่อาหารที่ทำด้วยอลูมิเนียมเป็นรูปสี่เหลี่ยม หรือรูปครึ่ง วงกลมผูกแขวนติดกับข้างกรง ถ้าเป็นกระต่ายขุน อาจใช้กล่องอาหารอัตโนมัติเพื่อที่กระต่าย จะได้กินอาหารตลอดทั้งวัน

4. อุปกรณ์การให้น้ำ
มีหลายแบบด้วยกัน เช่น ถ้วยดินเผาใส่น้ำ แต่มีข้อเสียคือ กระต่ายอาจถ่ายมูลหรือ ปัสสาวะลงในถ้วยทำให้สกปรกได้ หรืออาจใช้ขวดอุดด้วยจุกยาง ซึ่งมีรูส่าหรับสอดท่อทองแดง วิธีใช้ให้นำขวดไปเติมน้ำจนเกือบเต็มขวดแล้วคว่ำขวดแขวนที่ข้างกรงกระต่ายให้ปลายท่อ ทองแดงสูงระดับที่กระต่ายกินน้ำได้สะดวก ควรตัดท่อทองแดงให้โค้งพอเหมาะ น้ำจึงจะไหล ได้ดีถ้าเลี้ยงกระต่ายเป็นจำนวนมาก ๆ อาจใช้อุปกรณ์ไห้น้ำแบบอัตโนมัติก็ได้ เพื่อประหยัด แรงงานและอุปกรณ์ แต่ค่าไซ้จ่ายค่อนข้างสูง

5. รังคลอด
ควรมีขนาดกว้างพอที่แม่กระต่ายและลูกกระต่ายอยู่ได้อย่างสบาย โดยทั่วไป รังคลอดควรมีขนาดกว้าง 30 เชนติเมตร ยาว 40 เชนติเมตร สูง 15 เซนติเมตร พื้นรัง- คลอดบุด้วยลวดตาข่ายขนาด 1/2 นิ้ว หรือใช้ไม้ตีปิดพื้นให้ทึบ ปูพื้นด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง
การทำความสะอาดโรงเรือนและกรงควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพี่อลดกลิ่นเหม็นที่เกิดจากมูลกระต่าย ส่วนภาชนะใส่น้ำและอาหารควรล้างทำความสะอาด อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง


7. การจับกระต่าย

กระต่ายเป็นสัตว์ที่ตกใจง่าย ดังนั้นการจับกระต่ายจะต้องทำด้วยความนุ่มนวลและ ถูกวิธีเพื้อความปลอดภัยของตัวกระต่ายและตัวผู้จับด้วย ไม่ควรจับกระต่ายโดยการหิ้วหู เพราะจะทำให้กระต่ายเจ็บปวด และอาจเป็นสาเหตทำให้กระต่ายหูตกได้ การจับกระต่ายที่ถูกวิธีมีดังนี้

1. ลูกกระต่าย ใช้มือที่ถนัดจับหนังบริเวณสะโพกให้มั่นคง แล้วยกขึ้นตรง ๆ


2. กระต่ายขนาดกลาง ใช้มือขวา (หรือมือที่ถนัด) จับหนังเหนือไหล่ให้มั่นคง อาจรวบหูมาด้วยก็ได้ มือซ้ายรองใต้ก้นให้ด้านหน้าของกระต่ายหันออกนอกตัวผู้จับ

3. กระต่ายใหญ่ ใช้มือขวาจับแบบวิธีที่ 2 แล้วยกอ้อมขึ้นมาทางช้ายมือใช้แขนช้าย หนีบให้แนบชิดลำตัวโดยใช้มือซ้ายช่วยประคองก้น ให้หน้ากระต่ายหัน



8. การขยายพันธุ์

กระต่ายที่จะนำมาผสมพันธุ์ควรมีอายุอย่างน้อย 5-7 เดือน ขึ้นอยู่กับพันธุ์หรือมี น้ำหนักมากกว่า 2.5 กิโลกรัม อัตราส่วนของพ่อพันธุ์ต่อแม่พันธุ์คือ 1 ต่อ 8-10 ตัวและ พ่อพันธุ์หนึ่งตัวไม่ควรผสมพันธุ์เกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ กระต่ายตัวเมียจะมีรอบการเป็นสัด ประมาณ 16 วัน ควรผสมพันธุ์เมื้อตัวเมียเป็นสัดเต็มที่ โดยดูที่อวัยวะเพศ ซึ่งจะบวมแดงมี เมือกเยิ้ม และกระต่ายอาจแสดงอาการกระวนกระวาย ส่งเสียงร้องหรือใช้เท้าตบพื้นกรง ถ้าเลี้ยงไว้หลายตัวรวมกันตัวที่เป็นสัดอาจขึ้นขี่ตัวอื่น เมื่อตัวเมียเป็นสัดเต็มที่แล้วให้จับ กระต่ายตัวเมียไปใส่ในกรงตัวผู้ ตัวเมียจะยกก้นให้ตัวผู้ผสมพันธุ์ หลังจากผสมพันธุ์เสร็จ แล้วตัวผู้จะตกจากหลังตัวเมีย และมักส่งเสียงร้องพร้อมกับใช้เท้าตบพื้นกรง

แม่กระต่ายจะตั้งท้องประมาณ 29-35 วัน โดยเฉลี่ยประมาณ 31 วัน ในช่วงแรกของ การตั้งท้อง ลูกกระต่ายจะโตขึ้นอย่างช้า ๆ หลังจากวันที่ 15 ของการตั้งท้อง ลูกกระต่ายจะ โตขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรให้อาหารที่มีคุณค่าสูง และเพิ่มปริมาณอาหารให้กับแม่กระต่าย เมื่อแม่กระต่ายตั้งท้องได้ 4 สัปดาห์ ให้จัดเตรียมรังคลอดที่ปูด้วยฟางหรือหญ้าแห้งใส่ใน กรงก่อนคลอด 1-2 วัน แม่กระต่ายจะกัดขนปูรังคลอด และคาบวัสดุต่างๆ ที่เราจัดไว้ไห้มา จัดรังคลอดใหม่ ส่วนใหญ่แล้วแม่กระต่ายจะคลอดในตอนเช้ามืดและให้ลูกครอกละ 5-12 ตัว ลูกกระต่ายแรกเกิดจะยังไม่มีขนขึ้น และยังไม่ลืมตาแม่กระต่ายจะให้ลูกกินนมในตอนเช้าวันละ 1-2 ครั้งๆละ 3-4 นาที เท่านั้น เมื่ออายุ 10 วันลูกกระต่ายจะลืมตา และมีขนขึ้นเต็มตัว พออายุประมาณ 15 วัน ลูกกระต่ายจะเริ่มออกจากรังคลอดและเริ่มกินหญ้าหรืออาหารแข็งได้ ลูกกระต่ายจะหย่านมเมื่ออายุประมาณ 5-7 สัปดาห์

บางครั้งจะพบว่าแม่กระต่ายให้ลูกมากเกินไปทำให้ลูกกระต่ายในครอกนั้นเติบโตช้า ผู้เลี้ยงจึงอาจนำลูกกระต่ายใปฝากแม่ตัวอื่นเลี้ยงได้ แม่กระต่ายที่จะนำไปฝากจะต้องคลอด ห่างกันไม่เกิน 3 วัน และควรฝากเมื้อลูกกระต่ายมีอายุน้อยกว่า 5 วัน โดยนำกระต่ายที่จะฝาก ไปถูกับขนของแม่กระต่ายที่จะรับฝากเลี้ยงแล้วนำไปรวมกลุ่มกับลูกกระต่ายที่มีอยู่ก่อนแล้ว ในกรณีที่ไม่มีแม่กระต่ายให้ฝากเลี้ยงอาจนำลูกกระต่ายมาเลี้ยงเองก็ได้ โดยใช้อาหารแทนนม ดังตารางที่ 3 ส่วนขวดนมก็อาจใช้หลอดฉีดขนาดเล็กหรือหลอดยาหยอดตา โดยที่ปลาย ของหลอดมีสายยางขนาดเล็กต่อสวมไว้ เพื่อให้ลูกกระต่ายดูดนมจากหลอดได้

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ดาราที่ชื่นชอบ

ดาราที่ชื่นชอบ

ประวัติส่วนตัว



ชื่อ - สกุล : ณเดช คูกิมิยะ (แบรี่)

วันเกิด : 17 ธันวาคม

ส่วนสูง : 181 เซนติเมต

น้ำหนัก : 68 กิโลกรัม
งานอดิเรก : เล่นเกม เล่นฟิตเนส

สิ่งที่ชื่นชอบ : ร้องเพลง เล่นกีต้าร์

กีฬา : ฟิตเนส

ศิลปินที่ชอบ : เบิร์ด ธงชัย , นก ฉัตรชัย

ของสะสม : กระเป๋าสะพาย

สีที่ชอบ: ขาว





ผลงานละคร : เงารักลวงใจ, สี่หัวใจแห่งขุนเขา

หลังจากโผล่หน้าหล่อใส ๆ ให้สาว ๆ ใจละลายในโฆษณาหลายต่อหลายชิ้น รวมถึงแฟชั่นถ่ายแบบที่หนุ่ม ณเดช คูกิมิยะ มักจะได้ประกบดาราสาวระดับแนวหน้าแทบทั้งสิ้น มาวันนี้ ดูเหมือนว่า ณเดช คูกิมิยะ เด็กปั้นของ เอ ศุภชัย จะได้เวลาแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวซะแล้ว เพราะเขาถูกดันเป็นคลื่นลูกใหม่ช่อง 3 โดยมีผลงานละครเรื่องแรก "เงารักลวงใจ" ที่เจ้าตัวได้รับบทเด่นของเรื่องซะด้วย

ทั้งนี้ เงารักลวงใจ ถือเป็นละครที่มีพระเอก นางเอก และพระรอง เป็นดาวรุ่งหน้าใหม่แกะกล่องทั้งสิ้น ซึ่งแน่นอนว่าในนั้น ก็มีหนุ่ม ณเดช คูกิมิยะ รวมอยู่ด้วย ทำให้มีคอละครจำนวนมากอยากรู้จักพวกเขากันมากมาย โดยเฉพาะ ณเดช คูกิมิยะ ก็แหม...หน้าตาไม่ลูกครึ่งจัด ออกญี่ปุ่นนิด ๆ ไทยหน่อย ๆ หุ่นก็แมน แถมกล้ามเป็นมัด ๆ รวมแล้วอร่อย เอ้ย! หล่อบาดใจสาว ๆ ซะเหลือเกิน

ฮั่นแน่... อยากรู้จักหนุ่ม ณเดช คูกิมิยะ กันแล้วใช่ไหมล่ะ ว่าแล้ววันนี้กระปุกดอทคอมก็ไม่พลาดนำประวัติของเขามาฝากกันค่ะ

ณเดช คูกิมิยะ เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น วัย 18 ปี เกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2534 เป็นชาวจังหวัดขอนแก่น เขามีชื่อเล่นว่า "แบรี่" แต่นามนี้จะรู้จักกันแค่เพื่อน ๆ และคนในครอบครัวเท่านั้นนะจ๊ะ เพราะพอเข้าวงบันเทิงหนุ่มแบรี่ก็ใช้ชื่อเล่นเดียวกับชื่อจริงคือ ณเดช เพื่อให้เรียกง่าย ๆ จะได้จำไม่ยาก

หลังจากโผล่หน้าหล่อใส ๆ ให้สาว ๆ ใจละลายในโฆษณาหลายต่อหลายชิ้น รวมถึงแฟชั่นถ่ายแบบที่หนุ่ม ณเดช คูกิมิยะ มักจะได้ประกบดาราสาวระดับแนวหน้าแทบทั้งสิ้น มาวันนี้ ดูเหมือนว่า ณเดช คูกิมิยะ เด็กปั้นของ เอ ศุภชัย จะได้เวลาแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวซะแล้ว เพราะเขาถูกดันเป็นคลื่นลูกใหม่ช่อง 3 โดยมีผลงานละครเรื่องแรก "เงารักลวงใจ" ที่เจ้าตัวได้รับบทเด่นของเรื่องซะด้วย

ทั้งนี้ เงารักลวงใจ ถือเป็นละครที่มีพระเอก นางเอก และพระรอง เป็นดาวรุ่งหน้าใหม่แกะกล่องทั้งสิ้น ซึ่งแน่นอนว่าในนั้น ก็มีหนุ่ม ณเดช คูกิมิยะ รวมอยู่ด้วย ทำให้มีคอละครจำนวนมากอยากรู้จักพวกเขากันมากมาย โดยเฉพาะ ณเดช คูกิมิยะ ก็แหม...หน้าตาไม่ลูกครึ่งจัด ออกญี่ปุ่นนิด ๆ ไทยหน่อย ๆ หุ่นก็แมน แถมกล้ามเป็นมัด ๆ รวมแล้วอร่อย เอ้ย! หล่อบาดใจสาว ๆ ซะเหลือเกิน

ฮั่นแน่... อยากรู้จักหนุ่ม ณเดช คูกิมิยะ กันแล้วใช่ไหมล่ะ ว่าแล้ววันนี้กระปุกดอทคอมก็ไม่พลาดนำประวัติของเขามาฝากกันค่ะ

ณเดช คูกิมิยะ เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น วัย 18 ปี เกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2534 เป็นชาวจังหวัดขอนแก่น เขามีชื่อเล่นว่า "แบรี่" แต่นามนี้จะรู้จักกันแค่เพื่อน ๆ และคนในครอบครัวเท่านั้นนะจ๊ะ เพราะพอเข้าวงบันเทิงหนุ่มแบรี่ก็ใช้ชื่อเล่นเดียวกับชื่อจริงคือ ณเดช เพื่อให้เรียกง่าย ๆ จะได้จำไม่ยาก

สำหรับบทบาทในละครเรื่องแรก "เงารักลวงใจ" ณเดช คูกิมิยะ รับบทเป็น "นาวา" พระรองของเรื่อง โดย เงารักลวงใจ มีคิวลงจอให้ได้ดูกันในวันที่ 23 เมษายน ออกอากาศทุกวัน ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ หลังข่าวภาคค่ำทางช่อง 3

นอกจากนี้ ณเดช คูกิมิยะ ก็ยังมีผลงานในโปรเจ็คใหญ่ "4 หัวใจแห่งขุนเขา" ละครฉลองครบรอบ 40 ปีของช่อง 3 อีกด้วย ซึ่งละครเรื่องนี้เป็นการนำเอานวนิยายความรักหลากรูปแบบ 4 เรื่องคือ ธาราหิมาลัย, ดวงใจอัคนี, ปฐพีเล่ห์รัก และ วายุภัคมนตรา มาร้อยเรียงต่อกัน มีพระเอกนางเอก 4 คู่ใน 4 เรื่อง โดยหนุ่ม ณเดช คูกิมิยะ รับบทเป็นพระเอกในเรื่อง "ดวงใจอัคนี" ประกบคู่นางเอกน้องใหม่ "ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์" จากละครเพื่อนซี้ล่องหน









ประเพณีไทยภาคอีสาน


1.ประเพณีผีตาโขน

















ช่วงเวลา


ช่วงเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน ของทุกปี

ความสำคัญ
การละเล่นผีตาโขนมีมานานแล้วแต่ไม่มีหลักฐานปรากฎแน่ชัดว่ามีมาตั้งแต่เมื่อใด แต่ชาวบ้านมีความเชื่อว่าการแห่ ผีตาโขน เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่พระเวสสันดรและ นางมัทรี กำลังจะออกจากป่ากลับสู่เมือง บรรดาผีป่า และสัตว์นานาชนิด มีความอาลัยจึงแฝงตนมากับชาวบ้าน เพื่อมาส่งพระเวสสันดร และนางมัทรีกลับเมืองซึ่งเรียกกันว่า ผีตามคน หรือ ผีตาขน



พิธีกรรม
มีการจัดทำพิธี 2 วัน คือ วันแรก (วันโฮม) ขบวนผีตาโขนจะแห่รอบหมู่บ้านตั้งแต่เช้ามืด เป็นการทำพิธีอัญเชิญพระอุปคุตเข้ามาอยู่ที่วัด ในวันที่สองเป็นพิธีการแห่พระเวสสันดรและนางมัทรีเข้าเมือง โดยสมมุติให้วัดเป็นเมือง สำหรับวันที่สองของงานนี้ ชาวบ้านยังได้นำบั้งไฟมาร่วมในขบวนแห่เพื่อเป็นพิธีขอฝนโดยแห่รอบวัด 3 รอบ ในขณะที่แห่อยู่นั้นเหล่าผีตาโขนทั้งหลายก็จะละเล่นหยอกล้อผู้คนไปเรื่อย ๆ เพื่อทำให้เกิดความสนุกสนาน หลังจากเสร็จพิธีการแห่แล้วบรรดาผู้ละเล่นผีตาโขนจะนำเครื่องเล่นผีตาโขน และอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบพิธีไปล่องลงแม่น้ำหมัน และในตอนค่ำของวันเดียวกัน จะมีการฟังเทศน์มหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์
ผีตาโขน จะแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ผีตาโขนใหญ่และผีตาโขนเล็ก
ผีตาโขนใหญ่ จะสานมาจากไม่ไผ่มีขนาดใหญ่กว่าคนประมาณ 2 เท่าแล้วจะประดับตกแต่งหน้าตาด้วยเศษวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น ในการทำผีตาโขนใหญ่ในแต่ละปีจะทำ 2 ตัวคือชายหนึ่งตัว และหญิงอีกหนึ่งตัวเท่านั้น ผู้ที่มีหน้าที่ทำผีตาโขน ใหญ่จะต้องได้รับอนุญาตจากผีหรือเจ้าก่อน และเมือได้รับอนุญาต แล้วต้องทำผีตาโขนใหญ่ทุกๆ ปีหรือต้องทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ปีเพราะว่าคนที่ไม่ได้รับอนุญาตก็จะไม่มีสิทธิ์ทำผีตาโขนใหญ่ เวลาแห่จะต้องมีคนเข้าไปอยู่ในตัวหุ่น
ผีตาโขนเล็ก ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ก็มีสิทธิ์ทำผีตาโขนเล็กเพื่อเข้าร่วมสนุกสนานกันได้ทุกคน การเล่นของผีตาโขนเล็กค่อนข้างผาดโผนผู้หญิงจึงไม่ค่อยนิยมเข้าร่วม
การแต่งกายของผู้ที่เข้าร่วมในพิธีแห่ผีตาโขน จะแต่งกายคล้ายกันกับผีปีศาจ ที่สวมศีรษะด้วยที่นึ่งข้าวเหนียวหรือว่ากระติ๊บข้าวเหนียวนั่นเอง และใส่หน้ากากที่ทำด้วยกาบมะพร้าวแกะสลัก มีการละเล่นร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนานในขบวนแห่


สาระ
การละเล่นผีตาโขนนับว่าเป็นสิ่งที่แปลกสำหรับผู้พบเห็น มีการนำเอาก้านทางมะพร้าวที่แห้ง นำมาตกแต่งเป็นหน้ากาก โดยการเจาะช่องตา จมูก ปาก และใบหู นำเอาหวดนึ่งข้าว โดยกดดันหวดให้เป็นรอยบุ๋มหงายปากหวดขึ้น เพื่อสวมศีรษะแต่งแต้มสีสันให้น่าดู ส่วนชุดที่สวมใส่ทำมาจากเศษผ้าหลากหลายสีมาเย็บต่อกัน อุปกรณ์ในการละเล่นมี 2 ชิ้น คือ "หมากกระแหล่ง" มีไว้เพื่อเขย่าทำให้เกิดเสียงดังในเวลาเดิน และ "อาวุธประจำกาย" ผีตาโขนส่วนมากจะใช้ผู้ชายแสดงเนื่องจากต้องกระโดดโลดเต้นไปเรื่อย ๆ จึงไม่เหมาะที่จะใช้ผู้หญิงเป็นตัวแสดง นอกจากเข้าร่วมในงาน "บุญหลวง" ยังได้เข้าร่วมขบวนแห่ในวันเปิดงานกาชาดดอกฝ้ายบานมะขามหวานเมืองเลย โดยขบวนผีตาโขนจะเดินรอบเมืองเพื่อโชว์ให้แขกบ้านแขกเมืองได้เห็น


2. ประเพณีบุญบั้งไฟ
ช่วงเวลา
เดือนพฤษภาคม

ความสำคัญ
ชาวจังหวัดยโสธรร้อยละ 85 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ชาวยโสธรจึงจัดประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นการทำบุญประจำปีทุกปีในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงก่อนฤดูการทำนา เป็นพิธีขอฝนจากพญาแถนให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล

พิธีกรรม
บุญบั้งไฟ หรือชาวบ้านชอบเรียกงาน บุญบั้งไฟ ว่าบุญเดือนหก จะเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการบูชาเทพยาดาอารักษ์หลักบ้านหลักเมือง เพื่อให้อยู่เย็นเป็นสุข ให้ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล จะได้ทำให้พืชผลทางการเกษตร การทำไร ทำนาไดผลอุดมสมบูรณ์ และเพื่อบูชาพญาแถนผู้ให้ฝนตกอีกด้วย ซึ่งชาวบ้านคนไทยและ คนลาวมีความเชื่อว่าพญาแถนคือเทพเจ้าแห่งฝน การจุดบั้งไฟจึงเป็นการบูชาเทพเจ้าแห่งฝน บันดานให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ตามความเชื่อมีเรื่องเล่าว่า มีเทพนามว่า วัสสกาลเทพบุตร ประทับอยู่ ณ บนสวรรค์ซึ่งจะคอย ดูแลเรื่องน้ำฟ้า น้ำฝน ใครทำถูก ทำชอบ พระองค์ก็จะประทานน้ำฝนให้ ใครทำเรื่องที่ไม่ดี พระองค์ก็จะไม่ประทานน้ำฝนให้ และพระองค์ก็มีความ ชื่นชอบการบูชาด้วยไฟ จังเป็นเหตุให้คนไทยในภาคอีสาน มีการบูชาไฟด้วยการจุดบั้งไฟ จึงเป็นประเพณีที่ดีงามสืบทอด กันมารุ่นแล้ว รุ่นเล่าจนถึงทุกวันนี้
บั้งไฟ เป็นการนำเอากัมมะถัน ประกอบด้วย ดินประสิวคั่วผสมกับถ่านตำให้ละเอียด แล้วจึงนำไปอัดแน่นในกระบอก


ประเพณีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร

งาน บุญบั้งไฟ ชาวบ้านจะทำการนัดหมายกัน โดยการทำบุญเลี้ยงพระเพล และประมาณ 3 โมงเย็นหรือ 15.00 น. โดยประมาณทางวัดก็จะตีกลองเป็นสัญญาณบอกให้ทุกคนได้รู้ว่างาน บุญบั้งไฟ ได้เริ่มแล้วให้นำบั้งไฟมารวมกันที่วัด แล้วเริ่มตั้งขบวนแห่โดยเริ่มจากจุดใดจุดหนึ่ง เป็นจุดเริ่มต้นขบวนแห่ แล้วชาวบ้านก็จะช่วยกันนำรถบรรทุกใส่บั้งไฟ แห่เป็นขบวนไปรอบเมือง ในขบวนแห่ก็จะมีการแต่งตัว การแสดงในท่าทางต่าง ๆ เป็นการสร้างสีสรรให้กับงานแล้วนำบั้งไฟกลับไปที่วัดที่จัดการแข่งขันบั้งไฟ ซึ่งบั้งไฟก็มีการแบ่งตามขนาดที่กำหนดโดยทั่วไปนิยมทำกันอยู่ 3 ขนาดคือ บั้งไฟธรรมดา บรรจุดินปืนไม่เกิน 12 กิโลกรัม บั้งไปหมื่นบรรจุดินปืนเกิน 12 กิโลกรัม และบั้งไฟแสน บรรจุดินดินปืนถึงขนาด 120 กิโลกรัม ในความเชื่อถ้าบั้งไฟขึ้นสูงนั่นก็หมายความว่าฝนฟ้า ข้าวปลา อาหารก็จะอุดมสมบูรณ์ดี แต่ถ้าบั้งไฟแตกหรือไม่ขั้นก็หมายความ ว่าฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูเป็นต้น

สาระ
1. เป็นการตักเตือนให้รู้ว่าธรรมชาติเป็นสิ่งไม่แน่นอน เกษตรกรไม่ควรประมาท
2. เป็นงานประเพณีที่สร้างความสนุกสนาน และความสมัครสมานสามัคคีของประชาชน
3. กิจกรรมการเซิ้ง สอนให้คนในสังคมรู้จักการบริจาคทาน และการเสียสละ
4. เป็นงานประเพณีที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวจังหวัดยโสธร


วันแม่





วันแม่แห่งชาติ

วันแม่แห่งชาติ ที่คนไทยทั่วไปนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า วันแม่ ทุกคนรับทราบและซาบซึ้งกันดี เนื่องจากวันสำคัญนี้ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือวันที่ ๑๒ สิงหาคมอันเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ และถือว่าเป็นวันแม่แห่งชาติด้วย




ความหมายของดอกมะลิ
ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์และเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมเย็นระรื่นใจ จึงยกย่องให้ดอกมะลิเป็นสัญลักษณ์ เป็นดอกไม้วันแม่แห่งชาติ ซึ่งทางราชการให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมา อ่านเพิ่มเติม

ประวัติวันแม่
แต่เดิมนั้นวันแม่แห่งชาติได้กำหนดเอาวันที่ ๑๕ เมษายน ของทุกๆ ปี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรองเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๙๓ ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงานวันแม่ มาตั้งแต่วันที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ เป็นครั้งแรก เป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดี ด้วยประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างออกไปได้ การจัดงานไม่เพียงแต่จัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังจัดให้มีการประกวดแม่ของชาติ ประกวดคำขวัญวันแม่ ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่แม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของงานวันแม่ให้ยิ่งๆ ขึ้น ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาล ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม (สมัยนั้น) แต่ทั่วไปเรียกกันว่า วันแม่ของชาติ

ต่อมาถึง พุทธศักราช ๒๕๑๙ ทางราชกาารได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็น วันแม่แห่งชาติ เริ่มในปีพุทธศักราช ๒๕๑๙ เป็นต้นมา จากหนังสือของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ชื่อแม่หลวงของปวงชน พิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๐ มีข้อความตอนหนึ่งเทิดพระเกียรติไว้ว่า

"แม่ที่ดีย่อมรู้จักส่งเสริมธำรงรักษาศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ เพราะแม่ทราบดีว่าถ้าขาดสิ่งเหล่านี้แล้วความเป็นไทยที่แท้จริงจะมิปรากฏอยู่บนผืนแผ่นดินไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา

แม่ที่ดีย่อมประพฤติปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี ตามระบอบของการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข โดยรักเคารพและเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด

หญิงไทยทุกคน ย่อมจะมีคุณลักษณะต่างๆ ของแม่ที่ดีดังกล่าวข้างต้นอยู่แล้ว จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการศึกษาและการฝึกอบรม แต่จะหาหญิงใดที่มีคุณลักษณะครบถ้วนทุกประการเสมอเหมือนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ นั้นไม่ง่ายนัก ด้วยเหตุนี้เราจึงขอเทิดทูนพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ ว่าทรงเป็นแม่หลวงของปวงชน ผู้ทรงเป็นศรีสง่าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของบ้านเมืองและของประชาชนชาวไทยทั้งมวล"

ดังกล่าวนี้เป็นเรื่องของวันแม่ของชาติตามเหตุผลของทางราชการ

ส่วนที่เกี่ยวกับวันแม่ของไทยตามความรู้สึกนึกคิดทั่วไปของคนไทยผู้เป็นแม่ คำว่า แม่ นี้เป็นคำที่ซาบซึ้ง ไม่มีการกำหนดวัน เวลา แต่มีความหมายลึกซึ้งกินใจของผู้เป็นแม่และลูกมานานแล้ว ดังสำนวนไทยประโยคหนึ่งว่า "แม่ใครมาน้ำตาใครไหล" ซึ่งพระวรเวทย์พิสิฐได้อธิบายไว้ในหนังสือวรรณกรรมเรื่อง "แม่" ว่า

"เด็กไทยตามหมู่บ้านในสมัยที่ข้าพเจ้าเป็นเด็กมักเล่นกันเป็นหมู่ๆ เด็กคนไหนแม่อยู่บ้าน เวลาเขาเล่นอยู่ในหมู่เพื่อนหน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เด็กคนไหนที่แม่ไม่อยู่บ้าน ต่างว่าไปทำมาหากินไกลๆ หรือไปธุระที่ไหนนานๆ ก็มีหน้าตาเหงาหงอย ถึงจะเล่นสนุกสนานไปกับเพื่อนในเวลานั้นก็พลอยสนุกไปแกนๆ จนเด็กเพื่อนๆ กันรู้กิริยาอาการ เพราะฉะนั้น พอเด็กๆ เพื่อนๆ แลเห็นแม่เดินกลับมาแต่ไกลก็พากันร้องขึ้นว่า แม่ใครมาน้ำตาใครไหล แล้วเด็กคนนั้นผละจากเพื่อเล่นวิ่งไปหาแม่ กอดแม่ น้ำตาไหลพรากๆ ด้วยความปลื้มปีติ แล้วจึงหัวเราะออกลักษณะการที่เด็กแสดงออกมาจากน้ำใจอันแท้จริงอย่างนั้นย่อมเกิดจากความสนิทสนม ชิดเชื้อมีเยื่อใยต่อกัน แม่ไปไหนจากบ้านก็คิดถึงลูกและลูกก็เปล่าเปลี่ยวใจเมื่อแม่ไม่อยู่บ้าน นี่คือธรรมชาติ ไม่มีใครสร้างสรรค์บันดาล มันเกิดขึ้นเอง"

และอีกตอนหนึ่งในหนังสือเล่มเดิมที่อ้างข้างต้นให้ความหมายของคำว่า "แม่" ว่า

"เสียงที่เปล่งออกมาจากปาก เป็นคำที่มีความหมายว่า แม่เป็นเสียและความหมายที่ซึ้งใจมีรสเมตตาคุณ กรุณาคุณ และความรักอยู่ในคำนี้บริบูรณ์ เด็กน้อยที่เหลียวหาแม่ไม่เห็นก็ส่งเสียงเรียกตะโกนเรียก แม่ แม่ ถ้าไม่เห็นก็ร้องไห้จ้า ถ้าเห็นแม่มาก็หัวเราะทั้งน้ำตา นี่เพราะอะไร เราเดาใจเด็กว่า เมื่อไม่เห็นแม่ เด็กต้องรู้สึกใจหายดูเหมือนเขาจะรู้สึกว่าขาดผู้ที่ปกปักรักษาให้ปลอดภัย แต่พอเห็นแม่เข้าเท่านั้นก็อุ่นใจ ไม่กลัวเกรงอะไรทั้งหมด

เราที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เมื่อเอ่ยคำว่าแม่ทีไร ก็มักจะรู้สึกเกินออกไปจากความหมายที่เป็นชื่อเท่านั้น ย่อมนึกถึงความสัมพันธ์ที่แม่มีต่อเราเกือบทุกครั้ง แม่รักลูกถนอมลูก สงสารลูก หวังดีต่อลูก จะไปไหนจากบ้านก็เป็นห่วงลูก รับประทานอะไรก็คิดถึงลูก ถึงกับแบ่งของรับประทานนั้นไว้ให้ลูก ลักษณะเหล่านี้ย่อมตรึงใจเรามิวาย"

อย่างไรก็ตาม การที่ทางราชการประกาศกำหนดวันที่ ๑๒ สิงหาคม ของทุกปีเป็นวันแม่แห่งชาติ ย่อมก่อให้เกิดวันอันเป็นที่ระลึกที่สำคัญยิ่งของไทยเราวันหนึ่งและกำหนดให้ถือว่า ดอกมะลิสีขาวบริสุทธิ์เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามของแม่ผู้ให้กำเนิดแก่ตัวเรา อย่างคำประพันธ์บทดอกสร้อยชื่อ แม่จ๋า ของ ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา ที่ว่า

ดอกเอ๋ยดอกมะลิ
ถึงงยามผลิกลิ่นพราวสกาวต้น
สดสะอาดปราศสีราคีระคน
เหมือนกมลสดใสหมดระคาย



กลิ่นมะลิหอมกระไรไม่รู้สร่าง
เปรียบได้อย่างรักแท้ไม่แปรหาย
อันรักแท้แลหัวใจได้บรรยาย
ขอเชิญทาย ณ ที่ไหนจากใครเอย



วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การประยุกต์ใช้งานอินเทอร์เน็ต


การประยุกต์ใช้งานอินเทอร์เน็ต


ารประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันทำได้หลากหลาย อาทิเช่น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเมล์ (e-Mail) , สนทนา (Chat), อ่านหรือแสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ด, การติดตามข่าวสาร, การสืบค้นข้อมูล / การค้นหาข้อมูล, การชม หรือซื้อสินค้าออนไลน์ , การดาวโหลด เกม เพลง ไฟล์ข้อมูล ฯลฯ, การติดตามข้อมูล ภาพยนตร์ รายการบันเทิงต่างๆ ออนไลน์, การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ออนไลน์, การเรียนรู้ออนไลน์ (e-Learning), การประชุมทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต (Video Conference), โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP), การอับโหลดข้อมูล หรือ อื่นๆ
แนวโน้มล่าสุดของการใช้อินเทอร์เน็ตคือการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้างสังคมออนไลน์ (
Social Network) ซึ่งพบว่าปัจจุบันเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น facebook, twitter, hi5 และการใช้เริ่มมีการแพร่ขยายเข้าไปสู่การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile Internet) มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันสนับสนุนให้การเข้าถึงเครือข่ายผ่านโทรศัพท์มือถือทำได้ง่ายขึ้นมาก

มารู้จักกับ Blogger กันเถอะ

Blog คืออะไร
Blog มาจากทำว่า Webblog : “Web” เป็นคำนามเฉพาะ ย่อมาจาก “World Wide Web” ความหมายสั้น ๆ คืออินเตอร์เน็ต + log การจัดเก็บ บันทึก ดังนั้น Web-blog คือการเก็บการจดบันทึกบนโลกอินเตอร์เน็ต เป็น Personal Website ประเภทหนึ่งแต่ปัจจุบันได้พัฒนามาเป็น ช่องทางการสื่อสารหลาย ๆ เรื่องเช่น เรื่องธุรกิจ การค้าขาย การร้องเรียน การประชาสัมพันธ์ สเน่ห์ของ Blog อยู่ที่ความไม่เป็นทางการ หรือความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียน Blog กับผู้ติดตามอ่าน Blog ปัจจุบันมีผู้ให้บริการ Blog หลายรายทั้งให้บริการฟรีโดย Server ของผู้ให้บริการเอง อาทิเช่น Blogger ของ Google, Wordpress.com, Yahoo360 ของไทยก็มี Bloggang.com ของพันทิพ, StoryThai.com หรือเป็น Blog ที่เจ้าของ Blog เอามาติดตั้งบนโฮสติ้งของตัวเอง เช่น Wordpress.org ,Drupal SEOSamutprakarn ก็เป็น Blog ประเภทหลังนี่เช่นกัน
Blogger คืออะไร Blogger เริ่มต้นจากบริษัทเล็กๆ ในซานฟรานซิสโกในปี 1999 นับตั้งแต่ Blogger เปิดตัวก็ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของเว็บ สร้างผลกระทบต่อการเมือง เขย่าวงการสื่อสารมวลชน และทำให้คนนับล้านได้แสดงออกและติดต่อกับบุคคลอื่น ณ.ปัจจุบัน Blogger ได้ถูกซื้อไปอยู่ในความครอบครองของ Google เรียบร้อยแล้ว
ทำไมต้องใช้ Blogger
ใช้งานง่าย แค่มีบัญชีอีเมล์ของ Google นั่นก็คือ Gmail คุณก็สามารถสร้าง Blog ออกมาได้นับไม่ถ้วน
ปรับแต่งง่าย มีเทมเพลต พร้อมทั้ง Gadget มากมายให้เลือกใช้ เพื่อบ่งบอกความเป็นตัวของคุณ
ไม่ล่ม แน่นอนครับก็มี Google ดูแลอยู่นี่นา
ข้อสุดท้ายสำคัญที่สุด สามารถนำมาติดโฆษณาหารายได้จาก Google Adsense ได้อย่างง่าย ๆ หลาย ๆ คนเอามันมาเป็นสะพานเพื่อสมัคร Google Adsense
เมื่อนับข้อดีได้สี่ข้อแล้ว ก็ไปใช้ Blogger กันเถอะ แต่ก่อนอื่นไปสมัคร Gmail ไว้ซะก่อน ..
เดี๋ยวผมมาสอนใช้ Blogger บทความหน้า
ร่ำรวย ร่ำรวยครับ
NotZaa
Related posts:
สร้าง Blog ง่าย ๆ กับ Blogger.com เอาล่ะครับจากบทความที่แล้วเราแนะนำ Blogger กันไปแล้วมาถึงขั้นตอนการสร้าง Blog และปรับแต่งกันซะที หลังจากเรามีบัญชีอีเมล์กับ Gmail แล้ว ให้ไปที่ Blogger.com...
มือใหม่จ๋า มาใช้ Wordpress กันเถอะ ปัญหาของมือใหม่ในการทำเว็บไซต์ หรือ Blog ก็คือไม่รู้ว่าจะทำเว็บไซต์ยังไงดี เนื่องจากประสบการณ์ที่รู้มาจากหนหลังคือ การทำเว็บไซต์ต้องยาก เขียนเองทั้งหมด อย่างดีก็ใช้ Dreamweaver เข้าช่วยหนึ่งในนั้นก็คือผมด้วยที่เข้าใจผิดอยู่...
วิธีการลงโปรแกรม Appserv สำหรับเรามือใหม่ทั้งหลายไอ้จะไปเช่าโฮสเพื่อมาลองลง Wordpress มันก็กะไรอยู่ ยังทำอะไรไม่เป็นเลยจะเสียตังค์แล้วหรือ คงไม่ใช่งั้นเอางี้ครับ SeoSamutprakarn มีทางออกให้ มีโปรแกรมตัวหนึ่งที่สามารถจำลองเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราให้เป็น Webserver ได้โปรแกรมนั้นคือโปรแกรม...
เสียวขั้นที่ 1 ปรับแต่ง Blogger ให้ถูกใจเจ้าของ Blog 1 จากบทความที่แล้วผมได้สร้าง Blogger เนื้อหาดี ๆ แต่ไปเสียตรงที่หน้าตา ทำให้เมื่อมีผู้เยี่ยมชมเข้ามาที่ หน้า Blog ผมแล้วจะไม่ยอมอ่านบทความเนื่องจากตาลาย จาก...
เมื่อ Amazon จับมือ Blogger เช้าวันนี้ (17 ธันวาคม 2552) มีข่าวดีข่าวใหญ่ของ Amazon Associates สายบล๊อกฟรีทั้งหลาย เมื่อทาง Blogger...
Related posts brought to you by Yet Another Related Posts Plugin.

งาน part time.com เว็บไซต์สำเร็จรูป ของ Blogger

Blogspot.com แต่ได้ทำการจดทะเบียนโดเมน.com ให้กับ งานพาร์ทไทม์.com เป็นเว็บไซต์ประเภทเว็บสำเร็จรูป ที่เรียกว่าเว็บBlogger ไปเลย ซึ่ง งานparttime.com ใช้วิธีการจดโดเมนในรูปแบบ internationalize for thai domain name เวลาเราดูในหน้าผลการค้นหา ด้วยคำค้น "งาน part time" "งานพาร์ทไทม์" เราจะเจอ Url หรือชื่อโดเมนในรูปแบบภาษาไทย ว่า http://www.งานพาร์ทไทม์.com บล็อก โดยใช้รูปแบบ Blog ของ Blogger และไม่ได้ใช้ Url ชื่อโดเมนของงาน part time.com เป็นตัวอย่างการสร้างเว็บสำเร็จรูปโดยใช้ Blogger.com ซึ่งมีหน้าตาสวยงาม แถมเป็นเว็บไซต์สำเร็จรูป แบบ web 2.0 ที่มีช่องทางสื่อสารระหว่างผู้สร้างเว็บกับผู้ชมด้วยการ Comments ท้ายบทความได้ด้วย ด้วยความสามารถที่หลากหลายและมีรูปแบบที่สามารถตกแต่งได้ง่าย โดยการใช้ Theme ของ Draft blogger.com ด้วยแล้ว ดูแล้วแทบจะมองไม่ออก ว่าทำมาจากเว็บสำเร็จรูปชนิดไหน งานparttime.com เป็นเว็บ หาเงินออนไลน์ผ่านเน็ต ด้วยการใช้ โฆษณาของ Google ที่เรียกว่า Adsense มาใส่ เราเลยเรียกวิธีการหาเงินแบบนี้ว่า การทำ Blogger Adsense วิธีการคือ ทำการหา Keyword ทำเงิน มาสร้าง Blog โดยใช้ Blogger แล้วจดโดเมน ให้แทน Blogspot ต่อจากนั้น สร้างเนื้อหา ที่เกี่ยวข้องกับ Keyword ทำเงิน นั้นๆ ทำการโปรโมท จนมีผู้เข้าชมเว็บของเรา ถ้ามีคนสนใจ Adsense ที่เราวางไว้ แล้ว click ที่ โค้ดโฆษณา เราก็จะได้ส่วนแบ่งค่า Adsense กับ Google ครับ นี่เป็นตัวอย่างในการทำ Blogger Adsense หาเงินผ่านเน็ต แบบง่ายๆ ค่ะ ทั้งนี้การใช้เว็บสำเร็จรูป มาทำการ หาเงินออนไลน์ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เราต้องทำการศึกษา ให้ละเอียดลึกซึ้ง ทดลองทำ แล้วค้นคว้าหาข็อมูลอยู่เสมอก็อาจจะประสพความสำเร็จได้ค่ะ