


1. พันธุ์กระต่าย
2 อาหาร
3. การให้อาหารกระต่าย
4. การป้องกันและควบคุ้มโรค
5. โรงเรือนและอุปกรณ์การเลี้ยง
6. วิธีจับกระต่าย
7. การขยายพันธุ์ของกระต่าย
8. เกร็ดความรู้
9. บรรณานุกรม
1พันธุ์กระต่าย
1. พันธุ์นิวซีแลนด์ไวท์ (Newzealand White)
เป็นกระต่ายที่นิยมเลี้ยงกันแพร่หลายที่สุด มีขนสีขาวตลอดตัว ตาสีแดงหน้าสั้น มีสะโพกใหญ่ ไหล่กว้าง ส่วนหลังและสีข้างใหญ่ เนื้อเต็ม ให้ลูกดกเลี้ยงลูกเก่ง เมื่อโตเต็มที่ ตัวผู้หนัก 4.1-5.0 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 4.5-5.5 กิโลกรัม
2. พันธุ์แคลิฟอร์เนียน (Californian)
มีขนสีขาวตลอดตัวยกเว้นที่บริเวณใบหู จมูก ปลายเท้าและปลายหางจะมีสีดำ ลำตัวท้วมหนา สะโพกกลม ช่วงไหล่และช่วงท้ายใหญ่ ให้ลูกดกเลี้ยงลูกเก่ง เมื่อโตเต็มที่ ตัวผู้หนัก 3.5-4.5 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 4.0-5.0 กิโลกรัม
3. พันธุ์แองโกร่า (AngOra)
เลี้ยงกันมากทางภาคเหนือ มีขนฟูยาว ขนสีขาว สีดำหรือสีอื่น ๆ เมื่อโตเต็มที่ตัวผู้ หนัก 2.4-3.5 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 2.5-3.8 กิโลกรัม
มีหลายสีเช่น สีเทา ขาว น้ำตาล ฯลฯ ตาสีดำ หน้าแหลม เลี้ยงลูกเก่ง ทนต่อสภาพ แวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี เมื่อโตเต็มที่หนักประมาณ 2.0-3.0 กิโลกรัม ปัจจุบันมีการผสมข้ามพันธุ์ กับกระต่ายพันธุ์อื่น จนหากระต่ายพื้นเมืองแท้ได้ยาก
2. การให้อาหาร
ควรพิจารณาปริมาณที่ให้ไดยให้พอดีกับความต้องการของกระต่ายซึ่งขื้นอยู่กับระยะ การเจริญเติบโตของกระต่าย น้ำหนักตัวและสภาพเฉพาะของกระต่ายแต่ละตัวด้วย
1. กระต่ายตั้งท้อง
ควรให้อาหารที่มีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 15% วันละ 4.5% ของน้ำหนักตัวหรือให้ใน ปริมาณ 120-180 กรัมต่อวัน โดยเริ่มให้ตั้งแต่ตรวจพบว่าตั้งท้องหรือท้องประมาณ 15 วันจนถึงวันคลอด
2. กระต่ายเลี้ยงลูก
ควรให้อาหารที่มีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 17% วันละ 4.5% ของน้ำหนักแม่รวมกับ น้ำหนักลูก หรือให์ในปริมาณ 150-300 กรัมต่อวัน
3. กระต่ายหลังหย่านม
ควรให้อาหารที่มีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 16% วันละ 5 % ของน้ำหนักตัวหรือให้ใน ปริมาณ 50-150ุ กรัมต่อวัน
4. พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์
ควรให้อาหารที่มีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 15% วันละ 3.5-4 % ของน้ำหนักตัว หรือให์ใน ปริมาณ 90-140 กรัมต่อวัน ปริมาณอาหารส่าหรับพ่อและแม่พันธุ์ควรปรับตามสภาพร่างกาย เพื่อควบคุมไม่ให้อ้วนหรือผอมเกินไป ซึ่งจะมีผลทำให้การผสมติดยาก
3. อาหาร
อาหารมีความส่าคัญต่อการเลี้ยงกระต่ายอย่างยิ่งเพราะต้นทุนในการเลี้ยงกระะต่าย มากกว่าครึ่งหนึ่งใช้เป็นค่าอาหาร การที่จะเลี้ยงกระต่ายให้เติบโตเร็ว มีสุขภาพดีและให้ ผลผลิตสูงจำเป็นจะต้องเลี้ยงด้วยอาหารที่เหมาะสม และมีปริมาณเพียงพอกับความ ต้องการของกระต่าย
อาหารที่ใช้เลี้ยงกระต่ายแบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
1. อาหารหยาบ (Roughage)
หมายถึงอาหารที่มีโภชนะย่อยได้ต่ำ มีเยี่อใยสูง ซึ่งหมายถึงอาหารที่กินเข้าไป และเหลือกากขับถ่ายออกมาเป็นของเสียมาก ส่วนใหญ่ได้มาจากลำต้น และใบของพืช ตระกูลหญ้า และพืชตระกูลถั่ว เช่น หญ้าเนเปียร์ หญ้าขน หญ้ากินนี กระถิน ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วชีราโต ถั่วไกลซีน ถั่วเทาสวิลสไลโล เป็นต้น หรืออาจจะใช้ต้น พืชผักชนิดต่างๆ เช่น ผักบุ้ง ผักโขม ผักกาด คะน้า กะหล่ำปลี แครอท ผักกาดหอม หัวผักกาด มันเทศ มันแกว ฯลฯ เลี้ยงกระต่ายก็ได้
อาหารหยาบประเภทใบพืช ผัก หญ้า ควรให้กินเต็มที่ กระต่ายชอบหญ้าสด ผักสด มากกว่าตากแห้ง แต่หญ้าแห้งก็อาจใช้ได้ แต่ควรเป็นหญ้าที่อยู่ในระยะยังอ่อน ตากแห้งสะอาดไม่มีรา ไม่สกปรก ไม่มียาฆ่าแมลง ดวรหั่นเป็นท่อน ๆให้ยาวพอควร
2. อาหารข้น (Concentrate)
แม้ว่ากระต่ายจะสามารถยังชีพและขยายพันธุ์ตามปกติธรรมชาติ โดยอาศัย อาหารประเภทต้นหญ้า ใบพืชได้ก็ตาม แต่หากเราต้องการให้มันเจริญเติบโต ให้ผลิตผลเร็ว ให้เนื้อมาก ให้ขยายพันธุ์มีลูกดก ได้ลูกปีละหลายตัว เราจะต้องเลี้ยงดูให้ดี โดยมีอาหารข้น (Concentrates) เพิ่มเสริมให้ด้วย อาหารขันนี้เป็นอาหารที่มีโภชนะย่อยได้สูง มีเยื่อใยต่ำ ย่อยง่าย ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มคือ
2.1 อาหารที่เป็นแหล่งพลังงาน คืออาหารที่มีแป้ง และน้ำตาล (คาร์ไบ ไฮเดรต) หรือไขมันสูง ได้แก่ รำ ปลายข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง มันเสน และไขมัน จากพืชหรือสัตว์
2.2 อาหารที่เป็นแหล่งโปรตีน ได้แก่ นมผง ปลาป่น กากถั่วเหลือง กากถั่วลิสง และใบกระถินป่น
ส่าหรับอาหารข้นควรเสริมให้กินในตอนบ่าย กระต่ายที่ไม่ได้เสริมด้ยอาหารข้น ควรมีแร่ธาตุประกอบด้วย เกลือ กระดูกป่น และเปลือกหอยบดอย่างละเท่า ๆ กัน ผสมให้เข้ากัน ตั้งให้กินตามชอบ อาหารป่นที่แห้งอาจผสมน้ำเล็กน้อยพอชื้น เพื่อสะดวกใน การกินและจะช่วยมิให้ร่วงหล่นเสียหาย
3. อาหารส่าเร็จรูป (Complete feed)
เกิดจากการนำอาหารข้นและอาหารหยาบมารวมกันในอัตราส่วนที่เหมาะสม มีสภาพเป็นผงหรืออัดเป็นเม็ด นำมาใช้เลี้ยงกระต่ายได้สะดวก กระต่ายที่เลี้ยงด้วยอาหาร สำเร็จรูปเพียงอย่างเดียวในปริมาณที่เพียงพอจะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่ในการ เลี่ยงโดยทั่วไปนิยมเสริมหญ้าสด เพื่อลดต้นทุนและควรให้หญ้าหลังจากที่กระต่ายกินอาหาร สำเร็จรูปในปริมาณมากพอสมควร เพื่อให้กระต่ายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างเพียงพอ
4. การป้องกันและควบคุ้มโรค
1. โรคกระต่าย
เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความเสียหายในการเลี้ยงกระต่ายเสมอไม่ว่าจะเลี้ยงกระต่ายมาก น้อยเท่าใด หรือมีการจัดการที่ดีเพียงใดก็ตาม การที่จะควบคุมโรคกระต่ายให้ได้ผลดีควรเน้นที่ การป้องกันไม่ให้เกิดโรคขึ้น และรักษาตั้งแต่กระต่ายเริ่มป่วยเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคและ ประหยัดค่ารักษา
สาเหตุของโรคมีทั้งสาเหตุที่เกิดจากตัวกระต่ายเองและสาเหตุภายนอกชึ่งสาเหตุต่างๆ นั้นอาจจำแนกได้ดังนี้
1.1 สภาพแวดลอมที่ไม่เหมาะสม เช่น ใกล้แหล่งเชื้อโรค มีพาหะของเชื้อโรคมาก อากาศที่ร้อนชื้น การระบายอากาศที่ไม่ดีเป็นต้น
1.2 อาหารและน้ำที่ใม่เพียงพอหรือมีสิ่งเจือปนที่เป็นพิษต่อกระต่าย
1.3 พันธุกรรม โรคหรือลักษณะทางพันธุกรรมบางอย่างสามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ เช่น ลักษณะฟันยื่น ลักษณะกระต่ายฟันยื่น
1.4 เชื้อโรค ได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตชัว พยาธิ เห็บ หมัด เหา ไร เป็นสาเหตุที่ เด่นชัดและพบได้เป็นประจำ
2. การป้องกันโรค
ทำได้โดยพยายามลดสาเหตุของโรคให้เหลือน้อยที่สุดได้แก่
2.1 เลือกชื้อกระต่ายที่แข็งแรงและปลอดโรคมาเลี้ยง
2.2 ดูแลกระต่ายให้อยู่สภาพที่สบาย สะอาด ได้รับอาหารและน้ำเพียงพอ ไม่ร้อนเกินไป และมีอากาศถ่ายเทสะดวก
2.3 หมั่นตรวจและสังเกตุลักษณะอาการของกระต่ายเป็นประจำ ถ้าพบกระต่ายป่วย ควรแยกไปเลี้ยงในที่เฉพาะและทำการรักษาทันที ถ้าไม่สามารถรักษาได้ควรรีบปรึกษาสัตวแพทย์ ส่าหรับกระต่ายตัวอื่นที่ยังไม่ป่วยควรดูแลเป็นพิเศษและทำความสะอาดโรงเรือนให้บ่อยขี้น
2.4 ไม่ควรใช้ยาเอง ถ้าไม่มีความรู้เพียงพอ ถ้าจะใช้ยาเองควรทำตามคำแนะนำของ สัตวแพทย์ และไม่ควรใช้ยาโดยไม่จำเป็นเพราะจะทำให้เชื้อโรคตื้อยาได้
6. โรงเรื่อนและอุปกรณ์ที่ใช้
1. โรงเรือน
ลักษณะของโรงเรือนที่ดีควรตั้งอยู่ในแนวทิศตะวันออกกับตะวันตก มีลวดตาข่ายล้อม รอบเพื่อป้องกันแมลงและสัตว์ ชี่งจะทำอันตรายและนำโรคมาสู่กระต่าย หลังคาของโรงเรือนจะ ต้องกันแดดและฝนได้ดี พื้นภายในโรงเรือนควรเป็นพื้นคอนกรีต เพื่อไม่ให้เปียกชื้นและทำ ความสะอาดได้ง่าย กรณีที่ผู้เลี้ยงมีพื้นที่ในบ้านหรือใต้ชายคาบ้านมากพอสมควร และกระต่าย ที่เลี้ยงมีจำนวนไม่มากนัก ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมีโรงเรือน
2. กรง
ขนาดของกรงขึ้นกับจำนวนกระต่าย ถ้าเป็นกรงเดี่ยวควรมีขนาดกว้าง 50-60 เชนติเมตร ยาว 60-90 เชนติเมตร สูง 45-60 เซนติเมตร ถ้าต้องการเลี้ยงกระต่ายหลายตัว อาจทำเป็นกรงตับและซ้อนกัน 2-3 ชั้น หรือถ้าจะขังหลายๆ ตัวรวมกัน กรงที่ใช้จะต้องใหญ่พอ ที่กระต่ายจะอยู่กันได์ไดยไม่หนาแน่นเกินไป วัสดุที่ใช้ทำกรงอาจใช้ไม้ระแนง หรือลวดตาข่าย ที่มีช่องกว้างประมาณ 1/2 - 3/4 นิ้ว ถ้าเป็นกรงส่าหรับแม่กระต่ายเลี้ยงลูก ลวดตาข่ายที่ใช้บุพื้น ควรมีช่องขนาด 1/2 นิ้ว เพื่อปัองกันขาของลูกกระต่ายติดในร่องของลวด ถ้าเลี้ยงกระต่ายไม่กี่ตัว อาจชื้อกรงส่าเร็จรูปที่มีขายตามร้านขายอุปกรณ์เลี้ยงสัตว์ทั่วไป แต่ต้องไม่ลืมว่ากรงที่ใช้จะต้อง มีขนาดใหญ่พอที่กระต่ายจะอยู่ได้อย่างสบาย และต้องแข็งแรงทนทาน มีอายุการใช้งานยาวนาน
3. อุปกรณ์การให้อาหาร
ควรใช้ถ้วยดินเผาขนาดเสนผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้ว และมีน้ำหนักมาก พอที่กระต่ายจะ ไม่สามารถทำล้มได้ อาจใช้กล่องใส่อาหารที่ทำด้วยอลูมิเนียมเป็นรูปสี่เหลี่ยม หรือรูปครึ่ง วงกลมผูกแขวนติดกับข้างกรง ถ้าเป็นกระต่ายขุน อาจใช้กล่องอาหารอัตโนมัติเพื่อที่กระต่าย จะได้กินอาหารตลอดทั้งวัน
4. อุปกรณ์การให้น้ำ
มีหลายแบบด้วยกัน เช่น ถ้วยดินเผาใส่น้ำ แต่มีข้อเสียคือ กระต่ายอาจถ่ายมูลหรือ ปัสสาวะลงในถ้วยทำให้สกปรกได้ หรืออาจใช้ขวดอุดด้วยจุกยาง ซึ่งมีรูส่าหรับสอดท่อทองแดง วิธีใช้ให้นำขวดไปเติมน้ำจนเกือบเต็มขวดแล้วคว่ำขวดแขวนที่ข้างกรงกระต่ายให้ปลายท่อ ทองแดงสูงระดับที่กระต่ายกินน้ำได้สะดวก ควรตัดท่อทองแดงให้โค้งพอเหมาะ น้ำจึงจะไหล ได้ดีถ้าเลี้ยงกระต่ายเป็นจำนวนมาก ๆ อาจใช้อุปกรณ์ไห้น้ำแบบอัตโนมัติก็ได้ เพื่อประหยัด แรงงานและอุปกรณ์ แต่ค่าไซ้จ่ายค่อนข้างสูง
5. รังคลอด
ควรมีขนาดกว้างพอที่แม่กระต่ายและลูกกระต่ายอยู่ได้อย่างสบาย โดยทั่วไป รังคลอดควรมีขนาดกว้าง 30 เชนติเมตร ยาว 40 เชนติเมตร สูง 15 เซนติเมตร พื้นรัง- คลอดบุด้วยลวดตาข่ายขนาด 1/2 นิ้ว หรือใช้ไม้ตีปิดพื้นให้ทึบ ปูพื้นด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง
การทำความสะอาดโรงเรือนและกรงควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพี่อลดกลิ่นเหม็นที่เกิดจากมูลกระต่าย ส่วนภาชนะใส่น้ำและอาหารควรล้างทำความสะอาด อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
7. การจับกระต่าย
กระต่ายเป็นสัตว์ที่ตกใจง่าย ดังนั้นการจับกระต่ายจะต้องทำด้วยความนุ่มนวลและ ถูกวิธีเพื้อความปลอดภัยของตัวกระต่ายและตัวผู้จับด้วย ไม่ควรจับกระต่ายโดยการหิ้วหู เพราะจะทำให้กระต่ายเจ็บปวด และอาจเป็นสาเหตทำให้กระต่ายหูตกได้ การจับกระต่ายที่ถูกวิธีมีดังนี้
1. ลูกกระต่าย ใช้มือที่ถนัดจับหนังบริเวณสะโพกให้มั่นคง แล้วยกขึ้นตรง ๆ
2. กระต่ายขนาดกลาง ใช้มือขวา (หรือมือที่ถนัด) จับหนังเหนือไหล่ให้มั่นคง อาจรวบหูมาด้วยก็ได้ มือซ้ายรองใต้ก้นให้ด้านหน้าของกระต่ายหันออกนอกตัวผู้จับ
3. กระต่ายใหญ่ ใช้มือขวาจับแบบวิธีที่ 2 แล้วยกอ้อมขึ้นมาทางช้ายมือใช้แขนช้าย หนีบให้แนบชิดลำตัวโดยใช้มือซ้ายช่วยประคองก้น ให้หน้ากระต่ายหัน
8. การขยายพันธุ์
กระต่ายที่จะนำมาผสมพันธุ์ควรมีอายุอย่างน้อย 5-7 เดือน ขึ้นอยู่กับพันธุ์หรือมี น้ำหนักมากกว่า 2.5 กิโลกรัม อัตราส่วนของพ่อพันธุ์ต่อแม่พันธุ์คือ 1 ต่อ 8-10 ตัวและ พ่อพันธุ์หนึ่งตัวไม่ควรผสมพันธุ์เกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ กระต่ายตัวเมียจะมีรอบการเป็นสัด ประมาณ 16 วัน ควรผสมพันธุ์เมื้อตัวเมียเป็นสัดเต็มที่ โดยดูที่อวัยวะเพศ ซึ่งจะบวมแดงมี เมือกเยิ้ม และกระต่ายอาจแสดงอาการกระวนกระวาย ส่งเสียงร้องหรือใช้เท้าตบพื้นกรง ถ้าเลี้ยงไว้หลายตัวรวมกันตัวที่เป็นสัดอาจขึ้นขี่ตัวอื่น เมื่อตัวเมียเป็นสัดเต็มที่แล้วให้จับ กระต่ายตัวเมียไปใส่ในกรงตัวผู้ ตัวเมียจะยกก้นให้ตัวผู้ผสมพันธุ์ หลังจากผสมพันธุ์เสร็จ แล้วตัวผู้จะตกจากหลังตัวเมีย และมักส่งเสียงร้องพร้อมกับใช้เท้าตบพื้นกรง
แม่กระต่ายจะตั้งท้องประมาณ 29-35 วัน โดยเฉลี่ยประมาณ 31 วัน ในช่วงแรกของ การตั้งท้อง ลูกกระต่ายจะโตขึ้นอย่างช้า ๆ หลังจากวันที่ 15 ของการตั้งท้อง ลูกกระต่ายจะ โตขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรให้อาหารที่มีคุณค่าสูง และเพิ่มปริมาณอาหารให้กับแม่กระต่าย เมื่อแม่กระต่ายตั้งท้องได้ 4 สัปดาห์ ให้จัดเตรียมรังคลอดที่ปูด้วยฟางหรือหญ้าแห้งใส่ใน กรงก่อนคลอด 1-2 วัน แม่กระต่ายจะกัดขนปูรังคลอด และคาบวัสดุต่างๆ ที่เราจัดไว้ไห้มา จัดรังคลอดใหม่ ส่วนใหญ่แล้วแม่กระต่ายจะคลอดในตอนเช้ามืดและให้ลูกครอกละ 5-12 ตัว ลูกกระต่ายแรกเกิดจะยังไม่มีขนขึ้น และยังไม่ลืมตาแม่กระต่ายจะให้ลูกกินนมในตอนเช้าวันละ 1-2 ครั้งๆละ 3-4 นาที เท่านั้น เมื่ออายุ 10 วันลูกกระต่ายจะลืมตา และมีขนขึ้นเต็มตัว พออายุประมาณ 15 วัน ลูกกระต่ายจะเริ่มออกจากรังคลอดและเริ่มกินหญ้าหรืออาหารแข็งได้ ลูกกระต่ายจะหย่านมเมื่ออายุประมาณ 5-7 สัปดาห์
บางครั้งจะพบว่าแม่กระต่ายให้ลูกมากเกินไปทำให้ลูกกระต่ายในครอกนั้นเติบโตช้า ผู้เลี้ยงจึงอาจนำลูกกระต่ายใปฝากแม่ตัวอื่นเลี้ยงได้ แม่กระต่ายที่จะนำไปฝากจะต้องคลอด ห่างกันไม่เกิน 3 วัน และควรฝากเมื้อลูกกระต่ายมีอายุน้อยกว่า 5 วัน โดยนำกระต่ายที่จะฝาก ไปถูกับขนของแม่กระต่ายที่จะรับฝากเลี้ยงแล้วนำไปรวมกลุ่มกับลูกกระต่ายที่มีอยู่ก่อนแล้ว ในกรณีที่ไม่มีแม่กระต่ายให้ฝากเลี้ยงอาจนำลูกกระต่ายมาเลี้ยงเองก็ได้ โดยใช้อาหารแทนนม ดังตารางที่ 3 ส่วนขวดนมก็อาจใช้หลอดฉีดขนาดเล็กหรือหลอดยาหยอดตา โดยที่ปลาย ของหลอดมีสายยางขนาดเล็กต่อสวมไว้ เพื่อให้ลูกกระต่ายดูดนมจากหลอดได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น